Category Archives: UK life

[Review] ขอวีซ่าอเมริกาที่ลอนดอน

สถานะของเราในอังกฤษตอนนี้ คือ อยู่ที่นี่ด้วยวีซ่านักเรียน
บางคนก็อาจถามว่า วีซ่านักเรียนอังกฤษ นี่ไปขอวีซ่าอเมริกาได้ด้วยเหรอ
ก็ตอบเลยว่าขอได้ เพราะไปขอมาแล้ว และผ่านด้วย (แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เล่มพาสปอร์ตคืน เลยไม่รู้ว่าได้ 10 ปีเหมือนที่ไทยหรือเปล่า แต่เท่าที่เพื่อน 2-3 คนไปขอมาก่อนหน้าเรา ก็ได้ valid 10 ปีนะ)

ประเภทวีซ่า

ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าไปอ่านรายละเอียดใน http://london.usembassy.gov/niv/index.html

เราจะขอวีซ่าแบบ Non-immigrant ซึ่งแบ่งอีกเป็นหลาย categories

ที่คุ้นเคยก็คือ B-1/B-2 ซึ่ง B-1 คือ Business Visitors/Domestic Employees ส่วน B-2 คือ Holiday/Tourism/Medical Treatment

ส่วนเรายื่นขอแบบ B-1/B-2 ไปค่ะ (ไม่ได้ระบุว่า B-1 หรือ B-2)

กรอกแบบฟอร์ม

จากนั้น เราก็ต้องเข้าไปกรอกแบบฟอร์ม DS-160 ที่ https://ceac.state.gov/genniv/ เพื่อ submit เข้าระบบเค้าไป โดยเราจะต้องอัพรูปเข้าไปด้วย

การกรอกแบบฟอร์มก็ไม่มีอะไรมาก เหมือนขอวีซ่าทั่วๆ ไปค่ะ ทำงาน หรือเรียนอะไร บ้านอยู่ที่ไหน มีเพื่อนหรือญาติอยู่ US มั้ย ไปทำอะไร พักกี่วัน ฯลฯ

ขณะที่สมัครนี้เราเป็น resident ของอังกฤษอยู่ เราก็กรอกชื่อที่อยู่เบอร์โทรทุกอย่างเป็นของอังกฤษทั้งหมด แล้วเราก็ใส่ชื่อที่อยู่ของเพื่อนที่เรียนอยู่ที่ US ไปด้วย เพื่อเป็นบุคคลอ้างอิง

รูปถ่าย

ที่ทุกคนกังวลน่าจะเป็นเรื่องรูปถ่าย เคยได้ยินมานานแล้วว่ารูปถ่ายวีซ่าอเมริกาต้องเปิดหู

แต่พอเข้าไปดูข้อกำหนดในเว็บ เค้าไม่มีเขียนเรื่องต้องเปิดหูเลยนะ แต่เพื่อความชัวร์ เราก็ทัดหูถ่ายรูปไป โดยที่เราถ่ายรูปเองล่ะ ใช้กล้องถ่ายรูปตั้งเวลาถ่าย เปิดแฟลชอัด

ลิงค์นี้คือข้อกำหนดรูปถ่าย http://travel.state.gov/content/visas/english/general/photos.html

อธิบายได้ว่า

  • เป็นรูปสี ขนาด 2″ x 2″ (51 mm x 51 mm)
  • พิมพ์บนกระดาษที่ได้คุณภาพ (Photo quality paper)
  • ขนาดของศีรษะ (คางถึงบนสุดของหัว) อยู่ที่ 22 mm – 25 mm
  • ถ่ายภายใน 6 เดือน
  • ฉากหลังเป็นสีขาว หรือสีอ่อน
  • หน้ามองตรง
  • สีหน้าปกติ เปิดตามองตรง
  • ใส่ชุดธรรมดา ไม่ใช่เครื่องแบบ ยกเว้นเครื่องแบบทางศาสนาที่ใส่ทุกวัน
  • ห้ามใส่หมวก หรืออะไรปิดผม ยกเว้นเหตุผลทางศาสนา
  • ห้ามใส่หูฟัง หรือบลูทูธ
  • ใส่เครื่องช่วยฟัง หรือแว่นสายตาได้ แต่ต้องเป็นเลนส์ใส และในภาพห้ามมีแสงสะท้อนบนแว่น หรือกรอบแว่นบังตา
  • ห้ามแต่งรูป

อ่านจบก็… ไม่เห็นมีบอกเลยให้เปิดหู

อ้อ.. ในลิงค์ดังกล่าว เค้ามี tool ช่วยตัดรูปด้วยนะ คืออัพโหลดรูปขึ้นไป แล้วเค้าก็จะมีเฟรมหน้าให้ ว่าหน้าต้องไม่เล็กใหญ่เกินนี้ เอียงซ้ายเอียงขวามั้ย

พอได้ไฟล์รูปที่ต้องการแล้ว เราก็อัพโหลดรูปไปพร้อมกับแบบฟอร์มของเราค่ะ (ขนาดรูป 600 x 600 pixel) ทางระบบเค้าจะตรวจสอบรูป แล้วบอกว่าผ่านหรือเปล่าด้วยนะ

ของเราตอนแรกไม่ผ่าน เพราะ.. มีเงาตกบริเวณตา คือ ไม่ได้เปิดแฟลช

ก็เลยถ่ายใหม่ คราวนี้เปิดแฟลช ผ่านแน่นอน ปรากฎว่า…

ก็เลยพยายามจัดกล้องให้ตรง แต่มันไม่ได้ ด้วยตำแหน่งของชั้นวาง ฯลฯ ก็เลยใช้โฟโต้ช็อปคลุงช่วยซะเลย ถึงแม้เค้าจะบอกว่าห้ามรีทัชก็เหอะ เราก็ไม่ได้รีทัชอะไรบนหน้าเราเลยนะ แค่เอาเงาข้างหลังออก พออัพไปครั้งสุดท้าย ในที่สุดก็ผ่าน

เอารูปมาลงนี่พลีชีพมาก ถ่ายตอนกลางคืน ยังไม่ได้อาบน้ำ หน้าไม่แต่ง ครีมไม่ทา หน้าสดของจริง ฮือ แล้วที่ถ่ายเองนี่ไม่ใช่อะไรนะ คืองก

เพราะถ่ายรูปที่นี่ตั้ง 5 ปอนด์แน่ะ – -” แถมได้แค่ 4 รูปเอง ถ้าถ่ายแบบวีซ่าอเมริกา คราวที่แล้วไปถ่ายมาครั้งนึงตอนทำเชงเก้น คือ เกร็งมาก ไหนจะกดปุ่มถ่าย ไหนจะเกร็งตำแหน่งหัว เพลีย

พอเรียบร้อย เราก็ปริ๊นท์รูปออกมาเอง ใส่ photo paper ชนิด glossy ให้ออกมาเหมือนเวลาไปถ่ายมาจากตู้ถ่ายรูป

นัดสัมภาษณ์

พออัพโหลดแบบฟอร์มไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องไปนัดเวลาสัมภาษณ์ที่ https://ais.usvisa-info.com/en-gb/niv โดยกรอกหมายเลขแบบฟอร์มของเราเข้าไป เพื่อยืนยัน

ตอนเราเข้าไปเลือกวันสัมภาษณ์รู้สึกว่าวันที่นัดได้เร็วสุดจะประมาณ 10 วันถัดไป ช่วงเวลาจะมีให้เลือก จ-ศ และช่วงเวลาเช้าเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดจะ 8:00-10:00 มั้ง คือจะมีเวลาให้เลือกเป็นช่วง 15 นาที เช่น 8:15, 8:30, 8:45, …

เราก็แน่นอน เลือก 10:00 อันสุดท้ายเลย เพราะต้องนั่งรถไฟจากลีดส์ไปลอนดอนสองชั่วโมง

แล้วเค้าก็จะมีขั้นตอนให้จ่ายเงิน กับเลือกว่าจะให้พาสปอร์ตไปส่งที่ไหน ตอนแรกเค้าจะให้เราเลือกก่อนว่าจะไปรับพาสปอร์ตที่ศูนย์ไหน (ฟรี) คือหนึ่งเมืองจะมีหนึ่งศูนย์ ซึ่งศูนย์ที่ลีดส์นี่ไกลมาก นั่งแท็กซี่ไปรับเล่มพาสปอร์ตคงแพงมาก แต่ในขั้นตอนนี้ให้เราเลือกๆ ไปก่อน

ค่าใช้จ่ายในการทำวีซ่า £100 ค่ะ หักบัตรเดบิต

พอจ่ายร้อยปอนด์ไปเสร็จ เค้าจะถามว่า รับบริการส่งเล่มพาสปอร์ตถึงบ้านเพิ่มมั้ย

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก $30 อ่ะ ก็โอเค จ่ายผ่านบัตรเดบิตอีกรอบ ซึ่งครั้งนี้จะโดนค่าธรรมเนียมธนาคารด้วย คือเวลาจ่ายเงินเป็นสกุลต่างประเทศ (ไม่ใช่ £) เค้าจะมี Non-sterling purchase fee £1.00 (คิดทุกทรานแสคชั่น) และ Non-sterling transaction fee อีก 2.99% ซึ่งรอบนี้ $30 คิดเป็นเงินปอนด์ £17.37 ($30) + £1.00(purchase fee) + £0.53 (Transaction fee) รวมเป็น £18.90 คือ ค่าส่งพาสปอร์ตมาที่บ้าน (แพงมากกกกกกกกกก)

เตรียมเอกสารอื่นๆ

การยื่นขอวีซ่าอเมริกาแบบ B-1 ไม่มีบอกว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง แต่เค้าบอกว่า ให้เตรียมเอกสารตามที่คุณคิดว่าจะ support การขอวีซ่าของคุณ (คือให้คิดเองนั่นแหละ) ส่วน B-2 ถ้าจะไปทำการรักษาตัว ก็ให้มีใบรับรองแพทย์ ใบนั่นนู่นนี่ (ไม่ได้อ่านละเอียด)

ของเรา เราก็เลยเตรียม

  • Bank Statements ย้อนหลัง 3 เดือน พร้อมประทับตราจากธนาคาร
  • หนังสือรับรองการเป็นนักเรียนจากมหาลัย
  • ใบจองโรงแรมจาก Booking.com (ยกเลิกได้ฟรี)
  • สำเนาพาสปอร์ต
  • สำเนาบัตรนักเรียน
  • รูปถ่ายที่ปริ๊นท์ไปอย่างสวยงาม
  • ใบนัดเวลาสัมภาษณ์ และ ใบ Confirm การยื่นแบบฟอร์มวีซ่า (2 ใบนี้ต้องเอาไป)
  • พาสปอร์ตตัวจริง (ห้ามลืมเด็ดขาดดดด)

วันสัมภาษณ์

The US Embassy, London ตั้งอยู่ที่ 24 Grosvenor Square, London, W1A 2LQ (ในเว็บสถานทูตเค้าบอกว่าถ้าจะหา location ให้ใช้ postcode นี้)

นั่งรถไฟรอบ 06:40 ออกจาก Leeds ไปถึง London King’s Cross เวลา 08:51

จากแผนที่แล้ว ลง Bond Street น่าจะใกล้สุด เราก็นั่ง tube สาย Victoria จาก King’s Cross ไปลง Oxford Circus แล้วเปลี่ยนไป Central Line เพื่อลง Bond Street

พอถึง Oxford Circus ปุ๊ป ก็เดินไปเปลี่ยนสาย ขึ้นรถไฟแล้วถึงเห็นว่ามันมีป้ายติดอยู่ในสถานีว่า สถานี Bond Street ปิดปรับปรุง ให้เดินไปแทน อ้าว… เออไม่เป็นไร ลง Marble Arch ก็ได้

สรุปว่า ก็ไปลง Marble Arch นะ เดินมาไม่ไกล ก็ถึงเลย ใหญ่โตอลังการมาก ธงนานาชาติล้อมรอบสถานทูต (ไม่ได้ถ่ายรูปมา มัวแต่ช็อค)

เราไปถึงสถานทูตประมาณ 09:25  (อ้างอิงเวลาจากการเช็คอินใน 4sq อิอิ)

ที่หน้าสถานทูต มีคนต่อคิวยาวมากกกก 2 แถวขนานกัน เราก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง ตอนแรกนึกว่า เค้าคงตัดเป็นสองแถวเพื่อไม่ให้มันยาวมาก มารู้ทีหลังว่า ต้องต่อแถวซ้ายก่อน เพื่อไปตรวจเอกสาร และเช็คชื่อว่านัดไว้หรือเปล่า แล้วค่อยไปต่อแถวขวา เพื่อต่อคิวตรวจ security เพื่อเข้าไปด้านในสถานทูต ซึ่งโชคดีมากที่ตอนแรกต่อแถวซ้ายไปแบบงงๆ

ระหว่างต่อแถว ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาขอดูพาสปอร์ต ใบนัดเวลา และใบคอนเฟิร์ม รวมถึงจะมีคนมาแจกถุงใสๆ พอถามว่าเอาไว้ใส่อะไร เค้าก็บอกว่า ให้ใส่มือถือ นาฬิกา เข็มขัด และโลหะในกระเป๋า เราก็เอามือถือ ถอดนาฬิกา เอา mobile booster สายชาร์จ กระเป๋าตังค์ ใส่ไว้ในถุงใส พอถึงจุดตรวจ security จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเลย เอาถุงใส กระเป๋า เอกสาร วางในถาด แล้วก็ผ่านเครื่องสแกน จบ ง่ายมาก อ้อ ที่นี่ห้ามเอา laptop เข้านะคะ

พอผ่านจุดซีเคียวริตี้ ก็เดินตามป้าย เข้าประตูไป มีเจ้าหน้าที่ reception นั่งอยู่ที่ counter ก็ยื่นเอกสารให้เค้า เค้าจะปริ๊นท์สติ๊กเกอร์มาสามแผ่น เป็นหมายเลขประจำตัวของเรา (ของเรา N 340) แล้วเราก็เข้าไปนั่งด้านในเพื่อรอเรียก (เราเข้าตึกไปตอน 09:49 อ้างอิงจากเวลาที่ปริ๊นท์บนบัตรค่ะ สรุปคือใช้เวลาด้านหน้าประมาณ 25 นาทีก่อนเข้ามาด้านใน)

ด้านในเค้าติดป้ายว่าห้ามถ่ายรูปค่ะ แล้วก็ห้ามใช้โทรศัพท์ที่จุด Interview window

ด้านในจะเป็นห้องนั่งรถใหญ่ๆ มีเก้าอี้เป็นแพๆ คนเยอะแยะมากมาย ด้านหน้าของห้องมีหน้าจออันใหญ่ๆ เพื่อบอกหมายเลขคิวที่เรียก และมีจุดขายของเล็กๆ คือ ขายชากาแฟ ขนมกุบกิบ แล้วก็แซนวิช ด้วยความที่ข้าพเจ้าหิวมาก เลยไปซื้อแซนวิชที่ไม่มีป้ายราคาติด.. โดนไป £3 สวัสดีค่ะ

ส่วนด้านขวามือของห้อง จะเป็นเคาน์เตอร์ห้องกระจก เหมือนแคชเชียร์ บขส. อะ พูดไม่ถูก 55 จะเป็นคอกๆ กั้น เค้าเรียกว่า window 1-11 แล้วก็จะมีอีกโซนนึงต้องเดินเข้าซอยผ่านหน้าห้องน้ำไป อันนี้จะเป็น window 12-25

ห้องน้ำมีแยก ญ ช และ disable มีตู้กดน้ำดื่มหน้าห้องน้ำ (นี่ก็นั่งคอแห้งไปตั้งนาน ไม่รู้ว่ามีตู้กดน้ำ ไม่อยากซื้อน้ำเพิ่มเนื่องจากโดนแซนวิชไปแล้ว 3 ปอนด์)

เราโดนเรียกรอบแรกตอนประมาณ 10:50 (คือนั่งรอชั่วโมงนึง) ไปถึงเค้าก็ให้ยื่นเอกสาร คือแค่ใบนัดเวลากับใบคอนเฟิร์มยื่นแบบฟอร์มและพาสปอร์ตตัวจริงแค่นี้ ไม่ได้ขอเอกสารอย่างอื่นเพิ่ม เค้าก็พิมพ์ๆ แล้วก็อ่านๆ แล้วก็ถามว่าไปทำอะไร ตอนนี้เป็น student visa ที่นี่ใช่มั้ย อะ.. สแกนนิ้ว สี่นิ้วด้านซ้าย สี่นิ้วด้านขวา นิ้วโป้งซ้าย แล้วก็นิ้วโป้งขวา คุยกันแค่ 2 นาทีก็เสร็จละ

เสร็จแล้วเค้าก็ยื่นสติ๊กเกอร์หมายเลขคืนมาให้เราอันนึง แล้วบอกว่ากลับไปนั่งรอเรียกอีกครั้ง

เราสังเกตว่า ตอนที่นั่งรอรอบแรก หมายเลขมันจะสลับๆ แต่มันจะมีอันที่เรียงกัน เช่น N301, N259, N263, N302, N303, V179, N246, N304

คือ พวกรหัส N301-N304 เนี่ย คือพวกที่รอเรียกรอบแรก จะเรียกตามลำดับ ส่วน N259,N263,N246 พวกนี้คือรอเรียบรอบสอง ซึ่งแล้วแต่คนเลยว่า จะโดนเรียกก่อนเรียกหลัง ส่วน V179 นี่ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน คงเป็นวีซ่าอีกประเภทนึง ซึ่งไม่ค่อยมีคนรหัส V กับ รหัส I เท่าไหร่

คนเรียกรอบแรก จะให้ไปที่หน้าต่าง 1-11 ส่วนรอบสองจะเป็นหน้าต่าง 12-25

เพราะฉะนั้น ตอนรอเรียกรอบแรก ของเราเลข N340 ก็นั่งรอดูได้เลยว่าใกล้หรือยัง คือกะเวลาได้ ไปเข้าห้องน้ำได้ แต่พอรอบสองคือ มันแล้วแต่คนจริงๆ ว่าได้เร็วได้ช้า

ของเราจัดว่าช้ามากกก กว่าจะได้รอบสอง เพราะว่าเราเห็นว่ารหัสของคนที่เรียกรอบสอง มีเรียกไปถึง N410 แล้ว แต่เรายังไม่ได้เลย TT

เราโดนเรียกรอบสองประมาณ 11:45 (รออีกหนึ่งชั่วโมง) ให้ไป window 22 ไปถึงเค้าก็ถามว่า ตอนนี้เป็นนักเรียนใช่มั้ย (yes) จะไปที่ไหน (San Francisco) ไปทำอะไร (to visit my friend) ไปนานแค่ไหน (1 week) ไปคนเดียวเหรอ (No, my friend is studying in the US, so we will meet there) แล้วเค้าก็บอกว่า Ok. Your visa has been approved. Please wait for your passport to be delivered. It takes about 3 or 4 working days, which should be on next Thursday or Friday. จบ บายย เทคแคร์ สวัสดี

สรุป process

1. ต่อคิวด้านนอก เพื่อตรวจเอกสารและผ่าน security ใช้เวลา 25 นาที

2. เข้ามาด้านใน นั่งรอเพื่อยื่นเอกสาร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

3. นั่งรอการตรวจสอบเพื่อฟังผลว่าผ่านรึเปล่า ใช้เวลา 1 ชั่วโมง

4. รอพาสปอร์ตมาส่งที่บ้าน ใช้เวลา 3-4 วันทำการ

หมายเหตุ กรณีของเราคือไม่โดนขอดูเอกสารอะไรเลยสักอย่าง (ใช้แค่ใบนัดเวลากับใบคอนเฟิร์มแบบฟอร์มและพาสปอร์ตตัวจริงแค่นั้น) แต่เพื่อนเราโดนขอดูใบรับรองเป็นนักเรียนและรูปถ่ายนะจ๊ะ เพราะฉะนั้น เราสรุปให้ไม่ได้จริงๆ ว่าเค้าจะขอดูอะไรเพิ่มบ้างมั้ย

ทั้งหมดก็ประมาณนี้นะ ตอนนี้ก็รอพาสปอร์ตมาส่ง หวังว่าน่าจะได้ 10 ปีนะ ไว้เดี๋ยวมาอัพเดทอีกที 🙂

[อัพเดท] 8/5/14

วันศุกร์ที่ 2 ไปทำวีซ่า
วันพุธที่ 7 ได้อีเมล์แจ้งส่งพาสปอร์ต
วันพฤหัสที่ 8 ได้รับพาสปอร์ตตอนเที่ยงๆ

พี่คนส่งของเค้าโทรมา ให้ลงไปรับของ พร้อมเอา id ยืนยันตัวเองด้วย เราก็เลยหยิบบัตรนักเรียนลงไปยืนยัน พี่เค้าก็แซวว่านามสกุลยาวมากกก (คือพี่เค้าต้องพิมพ์นามสกุลคนรับของลงในเครื่อง handheld) สงสารคนส่งของทุกครั้งเลย 555555

สรุปว่าได้วีซ่าสิบปีค่ะ แถมออกจากลอนดอนด้วย เท่สุดๆ 😀

รูปถ่ายออกมาก็ไม่แย่นะ คงเพราะเป็นขาวดำด้วยล่ะมั้ง 😛

 

[Review] การทำเชงเก้นวีซ่า (ออสเตรีย) ที่ VFS แมนเชสเตอร์

เนื่องจากช่วงอีสเตอร์ปีนี้ (เมษา) เราจะไปเที่ยวยุโรปตะวันออก (Czech, Austria, Hungary) โดยซื้อตั๋วเครื่องบินไปลงเวียนนา และกลับจากเวียนนาเช่นกัน (Austrian Airlines) และอยู่ที่เวียนนา ระยะเวลาเท่าๆ กับบูดาเปสต์ ก็เลยตัดสินใจขอเชงเก้นวีซ่าจากสถานทูตออสเตรียค่ะ

ตอนนี้สถานทูตออสเตรีย ใช้บริการ VFS เป็นตัวแทนในการรับเรื่องทำวีซ่าแล้ว ข้อดีของมันคือ VFS มีศูนย์รับทำวีซ่าในอังกฤษที่ Manchester และ Edinburgh ด้วย แต่ข้อเสียคือ เสียค่าธรรมเนียมให้ VFS อีก £23.75 จ้า~

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับเราที่เอาสะดวกเข้าว่า.. การนั่งรถไฟจาก LEEDS-MANCHESTER ใช้เวลาแค่ประมาณ 55 นาที ค่าตั๋วไปกลับประมาณ 18 ปอนด์ (แบบมีส่วนลดจาก 16-25 Railcard) ในขณะที่ไปลอนดอน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่าตั๋วถ้าไม่ได้ราคาโปรก็ประมาณ 40 ปอนด์ (เห็นเพื่อนบางคนที่กำลังจะไปทำวีซ่าฝรั่งเศสที่ลอนดอนบอกว่าค่าตั๋วรถไฟไปกลับ 100 ปอนด์เลยทีเดียว – -” เลยต้องนั่งรถโค้ชกัน 3-4 ชั่วโมง)

รายละเอียดเอกสารต่างๆ และใบขอวีซ่า อยู่ที่เว็บไซต์นี้จ้า

http://www.vfsglobal.com/austria/uk/tourist_visa.html

หลังจากนัดหมายในเว็บไซต์แล้ว วันจันทร์ที่ 10 กุมภา เราก็นั่งรถไฟไปลงสถานี Manchester Picadilly ค่ะ และเดินตามทางในแผนที่เลย ใช้เวลาแค่ 10 นาทีนิดๆ เท่านั้น

สถานที่ชื่อว่า Joint Visa Application Centre อยู่ซ้ายมือของถนนนะคะ ถ้าเดินตามรูป (คนละฝั่งกับ Subway) หน้าตึกจะเขียนว่า 18-22 Mosley Street แบบนี้เลย

ต้องกดกริ่งขอขึ้นไปถึงจะเปิดประตูได้

พอขึ้นไปพี่การ์ด เค้าก็จะขอดูใบนัด (เรานัดรอบ 9:45 ค่ะ ตอนนัดในระบบ เรานัดได้ตั้งแต่ 8-10 AM)

ที่ศูนย์ VFS นี้ รับทำเชงเก้นของหลายประเทศค่ะ อิตาลี ออสเตรีย สวิส ฯลฯ (จำไม่ได้) แล้วก็เป็นศูนย์วีซ่าอินเดียด้วยค่ะ

คนน้อย คิวน้อยมาก เล่นมือถือได้ อะไรจะชิลขนาดนั้น

เออก็แน่เนอะ คนอังกฤษ ไต้หวัน เค้าไม่ต้องใช้เชงเก้นวีซ่ากันนี่นา

วันที่ไปก็เห็นแค่คนจีน 2-3 กลุ่มเล็กๆ แล้วก็เรา แค่นั้นเอง

ไปถึงเจ้าหน้าที่ก็เรียกตามเลขคิว แล้วก็ตรวจเอกสารให้

เอกสารที่ถูกดึงออก แล้วคืนให้เรา คือ Bank Statement หน้าที่เกิน 3 เดือน (เราปริ๊นท์ไป 4 เดือน), Insurance Policy (เค้าใช้แต่ใบกรมธรรม์เรา แต่ใบที่อธิบายยาวๆ ยืดๆ เค้าไม่ใช้), Itinerary (อุตส่าห์นั่งเขียน)

แล้วเราก็สะดุดปัญหานึง คือใบจองโรงแรมใบสุดท้าย ไม่มีชื่อเรา เค้าถามเราว่าจะเอายังไงดี

เราก็บอกว่า เราจำได้ว่าเวอร์ชั่นในอีเมล์มันมีชื่อเรา เราปริ๊นท์ใหม่ได้มั้ย เค้าก็บอกว่า โอเค

เค้าก็ให้ใบนัดเราให้กลับมาก่อน 10:30 แล้วบอกว่ามีที่ปริ๊นท์ในร้านขายของ ขวามือของตึก

เราก็เดินออกมา เป็นร้านขายของจุกจิก convenient store น่ะค่ะ พนักงานมีคนเดียว เป็นแขกตะวันออกกลาง คุยโทรศัพท์ตลอดดด ก็มีคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ๊นท์ เครื่องถ่ายเอกสาร อยู่ตรงนั้น

มาดูตารางราคาที่แปะไว้ที่ขาโต๊ะกัน

– อินเตอร์เน็ต £1 ทุกๆ 15 นาที

– ค่าปริ๊นท์ แผ่นละ 50p

ตอนแรกอ่านเห็นแค่นี้ พอเรากดปริ๊นท์ออกจากอีเมล์ มันออกมา 3 แผ่น คือเราไม่ได้ set อะไรมัน เพราะไม่ชินกับ Internet Explorer ก็เลยคิดว่า คงโดน £2.50 ปรากฏว่า นางเก็บตังค์เรา £3.50 จ้ะ

เหตุผลคือ มีเขียนว่า “Ticket or Boarding Pass £3.50″ คือแบบบบบบบบบ เอาเปรียบเกิ๊นนนนนน

สมแล้วจริงๆ ตามชนชาติ (ขอโทษที่ Racist นะ ฮืออออ แต่เคืองมาก)

โคตรทำมาหากินกับคนทำวีซ่าเลยจริงๆ

เราใช้เวลาแค่แป๊ปเดียวมากๆ กับการทำวีซ่าที่นี่ค่ะ เรานั่งรถไฟมาถึงสถานีตอน 9:20 เดินมาถึงตึกตอนประมาณ 9:30 กว่าๆ ตอนเสร็จแล้วเราก็เดินพุ่งตรงมาที่สถานีรถไฟ ซื้อตั๋ว (เราซื้อขามาขาเดียว) แล้วขึ้นรถไฟกลับรอบ 10:27 คือ.. สรุปว่าอยู่ในแมนเชสเตอร์แค่ชั่วโมงนึดๆ เท่านั้นเอง – -”

สำหรับค่าใช้จ่ายที่เสียไปวันนั้น คือค่าธรรมเนียมของ VFS (Service Charge) £23.75 ค่าธรรมเนียมเชงเก้น £49.20  SMS £1.20 และค่าส่งไปรษณีย์พาสปอร์ตกลับมาให้เรา £14.80 สรุปออกมารูดบัตรไป £89.19 งงเหมือนกันว่าบวกออกมายังไง =___= ใครเก่งเลขบอกเราหน่อยนะ อ้อ.. แต่เค้าบอกว่า Service Charges กับ Courier Charges นั้น including VAT 20% แล้ว ส่วนที่เหลือไม่รู้

ล่าสุดวันนี้ (12 กุมภา) สถานทูตโทรมาถามว่า ยูเดินทางคนเดียวเหรอ? ก็ตอบไปว่า ป่าวค่ะ จะไปเจอเพื่อนที่นั่น เพื่อนบินจากไทยแลนด์ แล้วเค้าก็ถามอีกว่า Have you paid for your hotel? ตอนแรกฟังไม่ออก ก็เลยถามว่า อะไรนะคะ พอได้ยินอีกที ก็ตอบไปว่า I will share with my friend (แลตอบไม่ตรงคำถามเนอะ – -) แล้วเค้าก็บอกว่า Oh, ok. Thank you. Bye.

เห้ย.. bye ง่ายแบบนี้เลย แล้ววีซ่าชั้นจะเป็นไรม้าย T___T

พอคุยกับคุณแฟน เค้าก็บอกว่า สงสัยเค้ากลัว issue เรื่องหญิงไทยเดินทางคนเดียวรึเปล่านะ? อืม.. ก็เป็นไปได้เนอะ

เพิ่มเติมเรื่องเอกสารค่ะ

– เอกสารรับรองความเป็นนักเรียนออกโดยมหาลัย ให้เขียนว่า To the Austrian Embassy, London

– Bank Statements เราปริ๊นท์เองจากในเว็บ แล้วเอาไปให้เจ้าหน้าที่ประทับตราให้ค่ะ ผู้จัดการสาขา Lloyds the Park Row น่ารักมากๆ จัดการให้อย่างเร็วเลย ไม่มีปัญหาเลย

– ที่อยู่ในใบขอวีซ่า เรากรอกที่อยู่ที่อังกฤษไป

– รูปถ่าย ถ่ายเองจากตู้ เลือก Passport Photo ราคา £5 ได้มา 5 รูป (แพง) แต่คมชัดมาก ระดับ HD เห็นกระทุกเม็ดบนใบหน้า และถุงใต้ตาอันใหญ่ย้วย (ขนาดโบก Concealer ไปแล้วนะ) และเพิ่งรู้ว่า การถ่ายรูปติดบัตรให้หัวไม่เอียง ไหล่เท่ากัน นี่มันยากจริงๆ ต้องนั่งระวังความตรง และตำแหน่งของใบหน้า แล้วยังต้องเก๊กหน้าอีก

– ใบจองโรงแรม ให้มีชื่อเราด้วยนะ เราถามเค้าว่า แล้วถ้าเราไปกับเพื่อน แล้วในใบจองเนี่ย เค้าให้ใส่ชื่อ guest ได้คนเดียว แล้วจะทำไงอะ? เจ้าหน้าที่ตอบว่า ยูก็ต้องบอกโรงแรม ให้ add ชื่อ guest เพิ่มเข้าไป หรือ.. ถ้ายูมีหลักฐานการเดินทางพร้อมเพื่อน เช่น booking ตั่วเครื่องบิน มีชื่อพร้อมกัน แบบนี้ก็โอเค แสดงว่าเดินทางพร้อมกัน

ประมาณนี้มั้ง.. ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไร >_<

UPDATE 15/2/14

ได้วีซ่ามาแล้วจ้า.. ส่งถึงมือเราแล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น (ไปยื่นเอกสารวันที่ 10)

เป็นไปตามแบบที่เค้าว่ากันเลย.. เราส่งเอกสารไปว่า เราจะไป 1-8/4/14 ก็ให้อยู่ได้แค่ 10 วัน แบบ single entry (ทั้งๆ ที่รีเควส Multiple ไปเผื่อว่าอาจจะได้…)

สงสัยจะมีสถานทูตฝรั่งเศสที่เดียวจริงๆ ที่ใจดี ให้ Multiple entries แบบ 3 เดือน 6 เดือน T^T

แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้วีซ่ามาแล้ว เย้~

วิธีทำผัดไทยง่ายๆ สำหรับประทังชีวิต #ktncooking

บล็อกนี้น่าจะเป็นเอนทรี่แรกเลยที่เป็นบล็อกทำอาหาร

เนื่องด้วยเป็นคนชอบกินผัดไทยมาก ตระเวนกินมาทั่วราชอาณาจักร

เวลาคนถามว่าผัดไทยร้านไหนอร่อยที่สุด ก็จะตอบไม่ค่อยได้นะ เพราะรู้สึกอร่อยทุกร้านเลย แต่ละร้านก็มีสูตรวิธีการทำไม่เหมือนกัน (ชอบยืนดู) แต่ร้านส่วนใหญ่เค้าก็จะผัดเส้นไว้ก่อน หรือไม่ก็ผสมน้ำสำหรับผัดเส้นไว้ก่อน เราก็เลยไม่รู้ว่าเค้าใส่อะไรมั่ง

ที่มีสังเกตว่าแตกต่าง ก็มีร้านนึงที่เจเจชลบุรี ร้านนี้เราชอบมาก แม่ชอบซื้อมาให้กินตอนเรียนมัธยม คุณป้าเค้าใส่ซีอิ๊วขาวด้วยถ้าจำไม่ผิด ละก็ร้านที่หน้าม.บูรพา ร้านนี้ใส่ซอสพริกหนักมือมาก ส่วนร้านที่ กินบ่อยช่วงหลังๆ คือหน้าโรงแรม imm fusion อ่อนนุช อันนี้น่าจะใส่ซีอิ๊วหวาน (เดาเอง) แล้วร้านทิพย์สมัย อันนี้แน่นอนใส่มันกุ้งเป็นตัวชูโรง แต่ถ้าสูตรแบบไม่มันกุ้ง ก็ไม่รู้แฮะว่าใส่อะไรบ้าง

เอาเป็นว่า สูตรผัดไทยที่เราจะลงวันนี้ เป็นอะไรที่ simple มากๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ขึ้นอยู่กับการปรุงรสมือตามใจชอบเลย ที่คิดจะเขียนเรื่องนี้เพราะวันนี้ทำแล้วอร่อยฟินมาก มีความสุข 5555 ครั้งนี้น่าจะเป็นการทำครั้งที่ 4-5 ได้แล้วล่ะ เริ่มชินมือแล้ว

ส่วนประกอบ (ต่อ 1 portion แต่จริงๆ แล้วก็ปรับเอาตามใจชอบนะ ชอบกินไรก็ใส่เยอะหน่อย):

หอมแดง (เราชอบกินหอมแดง เลยจะใส่ 1 หัว/1 portion)

กุ้งแห้ง (1 หยิบมือ)

ไชโป๊สับ (1-2 ช้อนโต๊ะ ตามชอบ)

เต้าหู้แข็ง (เราไม่ชอบกิน เลยไม่ใส่~)

ถั่วงอก (1 กำมือ)

กุยช่าย (1 ต้น แต่อย่างวันนี้ไม่มีกุยช่ายขาย ก็เลยใช้ต้นหอมแทน)

เส้น (วุ้นเส้น หรือเส้นจันท์ เส้นเล็ก แล้วแต่ชอบ)

กุ้งสด (ตามอัตภาพ)

ไข่ไก่ (1 ฟอง)

น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทราย น้ำมัน

ถั่วบด พริกป่น มะนาว สำหรับปรุงหลังทำเสร็จแล้ว

วิธีทำ:

วันนี้เราทำ 2 portion เราใช้วุ้นเส้น 2 ก้อน แช่น้ำไว้ระหว่างหั่นเตรียมเครื่องต่างๆ (น่าจะประมาณ 10 นาทีได้) ถ้าใช้เส้นจันท์ก็ต้องแช่นานๆ หน่อย ประมาณครึ่งชั่วโมงขึ้นไป และล้างน้ำเปล่าอีกหลายๆ น้ำเลย ถ้าล้างไม่ดี เวลาเอามาผัด เส้นจันท์จะมีกลิ่นแป้งๆ ติด แถมผัดแล้วเหนียวติดกันเป็นก้อนด้วย T^T

ซอยหอมแดง ล้างไชโป๊ในน้ำเปล่า 2-3 ครั้ง แล้วค่อยเอามาสับๆ หยาบมั่งละเอียดมั่ง ถั่วงอกก็ล้างแช่หลายๆ น้ำหน่อย ล้างน้ำแรกนี่ฟองพรึ่บเลย ไม่รู้เค้าแช่อะไรมาบ้างตอนขนมาจากเอเชีย ส่วนกุยช่ายก็เอามาล้าง สับเป็นท่อนๆ กุ้งแห้งก็ล้างน้ำ แช่น้ำให้นิ่ม กุ้งสดก็ล้างน้ำ เอาเส้นออก อะไรก็ว่าไป

เริ่มจากผัดกุ้งกับน้ำมันเล็กน้อยให้สุกก่อน หรือจะใช้วิธีลวกกุ้งก็ได้ค่ะ ตามสะดวก แล้วเอากุ้งสดพักไว้

ต่อมาตั้งกระทะใส่น้ำมันประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ต่อหนึ่ง portion ส่วนตัวเราเป็นคนใส่น้ำมันไม่เยอะเวลาทำกับข้าวค่ะ แต่ทำผัดไทยต้องใจกล้าใส่เยอะนิดนึง ไม่งั้นเส้นเหนียว พอเริ่มร้อนก็ใส่หอมแดงลงไปผัดให้เหลืองนิ่มน่าทาน

ผัดหอมแดงให้นิ่ม

ผัดหอมแดงให้นิ่ม

ผัดให้เหลืองกว่าในรูปอีกนิดนึงนะคะ แต่ไม่ต้องถึงขนาดเป็นหอมเจียวนะ จากนั้นก็ใส่เส้นลงไป พร้อมกับน้ำตาลปี๊ป (ครึ่งก้อน) น้ำปลา (กะเอาเอง) น้ำมะขามเปียก (เราใส่ประมาณ 3 ช้อนชาสำหรับสองจาน)

ใส่เส้น น้ำตาลปี๊ป น้ำปลา น้ำมะขามเปียก

ใส่เส้น น้ำตาลปี๊ป น้ำปลา น้ำมะขามเปียก

น้ำตาลปี๊ปนี่คือใส่ลงไปทั้งก้อนแข็งๆ เลยอะ ไม่ควรนะคะ 55 ถ้ามีน้ำตาลปี๊ปที่นิ่มแล้วก็จะดีมาก แต่เราขี้เกียจ เลยทุบๆๆ โยนลงไป รอให้มันละลายในกระทะ 5555 ส่วนน้ำปลาก็กะๆ เอา ใช้วิธีชิมรสตามชอบดีกว่า ก็ผัดๆ ไปให้เครื่องปรุงมันเข้ากัน ลดไฟกระทะให้ร้อนกลางๆ คนให้เส้นทั่วๆ ไม่ติดกัน พยายามสางๆ เส้น

ลงผักให้เต็มกระทะเลย

ลงผักให้เต็มกระทะเลย

จากนั้นก็ใส่กุ้งแห้ง ไชโป๊สับ ถั่วงอก กุยช่าย ลงไปผัดเลยค่ะ เกลี่ยให้ผักอยู่ด้านล่างกระทะ เอาเส้นขึ้นมากองทับไว้ เพราะเส้นผัดมานานละ เดี๋ยวจะไหม้ซะก่อน ซักแป๊ปนึงก็ผัดให้เข้ากัน สางเส้น ให้มันทั่วๆ กันกับผักค่ะ

แนะนำให้ชิมรสชาติช่วงนี้ เพราะมันจะมีความหวานของไชโป๊ และความเค็มของกุ้งแห้งเข้ามาแล้ว ถ้าไม่หวานพอ ก็ใส่น้ำตาลทรายค่ะ เพิ่มเปรี้ยวด้วยน้ำมะขามเปียก และเพิ่มเค็มด้วยน้ำปลา

พอถั่วงอกใกล้จะสุก ก็เกลี่ยของในกระทะให้กองไว้ด้านนึง แล้วก็ตอกไข่ใส่ลงไป ตีไข่แดงให้แตกเล็กน้อย ทิ้งไว้สักครู่ ด้านล่างของไข่จะสุก ก็เกลี่ยๆ ไข่ที่ยังไม่สุกให้ลงไปสัมผัสกระทะ แล้วค่อยผัดเส้นให้เข้ากับไข่ ขยี้ๆ สางๆ ให้ทั่วถึงกัน

เสร็จแล้ว~ ตกแต่งให้สวยงาม

เสร็จแล้ว~ ตกแต่งให้สวยงาม

เสร็จแล้วก็จะได้ผัดไทยหน้าตาแบบนี้ เอาถั่ว พริก มะนาว กุ้งสด มาตกแต่ง

แท้แด๊~

ป.ล. ถ้าจะใส่เต้าหู้ ควรใส่เวลาเดียวกับไชโป๊และกุ้งแห้งนะคะ

ป.ล.2 ได้ยินจากป้าว่า แบบออริจินัล เค้าต้องผัดไชโป๊ก่อน ผัดกุ้งแห้งก่อน ผัดไข่แยกก่อน ผัดเต้าหู้ก่อน อะไรแบบนี้ เอาเป็นว่าของเรา ทำแบบง่ายๆ เนาะ

ป.ล.3 ตอนเอาวุ้นเส้นลงกระทะตอนแรกมันจะหด และดูน้อยมาก แต่พอผัดออกมา สุดท้าย แบ่งกินได้ 3 จานแน่ะ ฟูมาก

ถ้าทำแล้วสำเร็จ อร่อย ไม่อร่อย ยังไง ลองมาแชร์กันดูนะคะ

แฮ่~ อิ่ม.. อร่อย