Monthly Archives: May 2016

[Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 2: Kawachi-fujien – Kokura Castle – Inasayama

ทริปตอนที่แล้ว [Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 1: Spaceworld

DAY 2 – Kawachi-fujien – Kokura Castle – Inasayama

วันนี้ทรหดมากค่ะ เพราะเราจะไปดูอุโมงค์ดอกวิสเทอเรียกันที่ Kawachi-fujien การเดินทางโดยรถสาธารณะนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก คือต้องนั่ง JR ไปลงสถานี Yahata แล้วต่อรถบัส ลงป้ายสุดท้ายของรถบัส แล้วเดินไปอีก 1 ชั่วโมง ถึงจะถึงสวนค่ะ!!! ลำบากไปมั้ย!

มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือ นั่ง Shuttle Bus ของออนเซ็นที่อยู่ติดกับสวนมาค่ะ แต่รถบัสนั้นเค้าเอาไว้สำหรับลูกค้าออนเซ็นเท่านั้น (ถึงแม้จะมีคนกว่า 50% ของรถบัสที่ไม่ได้ไปใช้บริการออนเซ็นก็ตาม) แต่เรารู้สึกไม่ดีค่ะ ถ้าจะไปโกงออนเซ็นเค้า

เพราะฉะนั้น ถึงเวลาจริง เราเลยนั่งแท็กซี่จากสถานี Yahata ไปค่ะ (นั่ง JR Local Line จาก Kokura ไปประมาณ 20 นาที) ค่าแท็กซี่ตกอยู่ที่ 2,590 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็คุ้มแหละ

วันนั้นเราออกจากโรงแรมเช้ามากกกกกก ออกจากโรงแรม 6 โมงนิดๆ ค่ะ นั่งรถไฟ และนั่งแท็กซี่ มาถึง Kawachi-fujien ตอน 7 โมงนิดๆ เท่านั้นเอง สวนเปิด 8 โมง โฮ่

ถึงแม้เราจะไปถึงตอน 7 โมงนิดๆ ก็มีคนมาต่อคิวก่อนหน้าเราประมาณ 15 คนได้ค่ะ เนื่องจากว่าวันนี้เป็น Golden Week ด้วย และในเว็บก็ขู่เหลือเกิน ว่ารถติดมาก รถติดมากแน่ๆ เราไม่อยากรถติดบนแท็กซี่ค่ะ ค่าแท็กซี่อ้วกแน่ เลยรีบมาแต่เช้า

ทั้งนี้ เราได้ซื้อบัตรมาก่อนล่วงหน้าแล้วค่ะ คนละ 500 เยน ตัดผ่านบัตรเครดิต เป็นการจองที่ไว้ก่อน เพราะเค้าจะกันโควต้าไว้ในช่วงที่พีคๆ แบบ Golden Week ค่ะ รายละเอียดเราดูจากที่นี่ http://www.japan-guide.com/e/e4881.html

ใครที่จะไปที่นี่ช่วง Golden Week อย่าลืมซื้อตั๋วมาก่อน แล้วปริ๊นท์ตั๋วออกมาด้วยนะคะ

เราต่อคิวไปได้สักพัก ประมาณ 7:40 เค้าก็เปิดให้เข้าได้เลยค่ะ โดยที่เค้าเก็บเงินเราเพิ่มอีกคนละ 1,000 เยน แสดงว่าวันนั้นเป็นวันที่พีคมาก ราคาเต็มของวันนั้นคือ 1,500 เยนนั่นเอง (ราคาแต่ละวันจะไม่เท่ากัน ถ้าดอกไม้บานเยอะก็จะยิ่งแพง)

ข้อดีของการไปเช้าค่ะ ได้รูปที่ไม่มีคนเลย สวยมากก เราเห็นตากล้องที่อุปกรณ์จัดเต็มมากันเยอะเลยทีเดียวค่ะ ดอกวิสเทอเรียมีทั้งสีขาว สีม่วง และสีชมพู

เดินขึ้นมาบนๆ ก็จะเห็นวิวกว้างๆ เป็นมุมด้านบนของดอกไม้ค่ะ สวยมากเลย ยิ่งบรรยากาศตอนเช้า ที่แดดยังไม่แรงมากแล้ว คือดีอะ

ดอกไม้อื่นๆ ก็มีนะคะ มีใบเมเปิ้ลด้วย เดินในสวนประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เดินทั่วแล้วค่ะ เลยขึ้นแท็กซี่ มุ่งตรงมาที่ Kokura Castle เลย เวลาขึ้นแท็กซี่กลับให้แจ้งพนักงานตรงประตูนะคะ เค้าจะจัดคิวขึ้นแท็กซี่ให้ค่ะ โดยรอจากแท็กซี่ที่คนนั่งเข้ามาเนี่ยแหละ

ตอนอยู่บนแท็กซี่ทั้งเราทั้งแฟนหลับค่ะ หลับเป็นตาย พอถึงปราสาทโคคุระ คุณป้าคนขับก็ปลุกเรียก แล้วลดราคาให้ด้วยอะ 55555 จริงๆ มัน 2,5xx คุณป้าบอก 2,500 พอ โอ๊ย เค้าคงเอ็นดูอะ (แต่คุณป้าขับค่อนข้างซิ่ง เราเลยเมารถอะ เพราะถนนบนภูเขามันคดเคี้ยว ป้าก็ซิ่งโค้งไปโค้งมา นี่เลยสลบจ้ะ)

ด้านทางเข้าปราสาทโคคุระค่ะ ตอนเราลงแท็กซี่มา ข้าศึกบุกหนักมาก มองหาห้องน้ำ เห็นป้ายห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกปราสาทค่ะ คือรอบๆ ปราสาทจะเป็นสวนเล็กๆ เราก็วิ่งไปส่งแฟ็กซ์ที่ห้องน้ำในสวนค่ะ ห้องน้ำก็ไม่แย่(มาก)หรอกนะ แต่ไม่มีทิชชู่ และไม่มีถังขยะค่ะ โอย ไมเกรนจะกิน

เรียบร้อยแล้วเราก็เข้ามาด้านในปราสาทค่ะ ปรากฏว่า ห้องน้ำ อยู่ตรงหน้าห้องขายตั๋วในปราสาทเลย น้ำตาจะไหล แล้วเมื่อกี้ชั้นไปเข้าห้องน้ำกรังๆ ในสวนทำไม

ในส่วนของแพ็คเกจที่ปราสาทโคคุระ จะมีให้เลือกค่ะ ว่า 1. ปราสาทอย่างเดียว 2. ปราสาท+สวน 3.ปราสาท+สวน+มิวเซียม

เราเลือกแพ็คเกจสามค่ะ 700 เยนเอง สบายๆ แต่มิวเซียมอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ 555

ในปราสาทก็สนุกดีนะคะ มีเล่าประวัติศาสตร์ มีหุ่นแสดงจำลองเหตุการณ์ต่างๆ น่ารักดีค่ะ แต่มีต้องเดินขึ้นหลายชั้นหน่อย และก็ภาษาอังกฤษที่นี่น้อยค่ะ ก็นัวๆ ไป  คือ เมืองโคคุระ เมื่อก่อนเป็นเมืองหลวงเก่าของแถบฟุกุโอกะเลยอะค่ะ เป็นเมืองใหญ่เลย ปราสาทก็เลยใหญ่ มีแม่น้ำ 2 ทิศ ส่วนรูปที่เห็นคือเกี้ยวไดเมียวค่ะ มันโยกได้ด้วย เป็นการจำลองความรู้สึกเวลาเราเป็นราชวงศ์ แล้วบริวารแบกไปบนเกี้ยว 555 แล้วก็มีเครื่องให้เราวิ่งแข่งกับม้าเร็วส่งข่าวด้วย ถ่ายเป็นคลิปมา ตลกมาก 5555

ส่วนชั้นบนสุดของปราสาทโคคุระเป็นที่ชมวิวค่ะ รอบปราสาทเต็มไปด้วยตึกสูงมากมาย แต่ถ้าลองจินตนาการว่าไม่มีตึกเหล่านี้นี่คือวิวดีมากเลยแหละสมัยก่อน อ้อ ชั้นบนมีตู้ไอติมกูลิโกะด้วยนะคะ 😛 กินติมไปนั่งพักผ่อนไป สบายค่ะ

ปราสาทนี้เป็น Step-Free นะคะ คือ มีเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันไดให้สำหรับผู้ที่ไม่สามารถขึ้นลงบันไดเองได้ค่ะ น่ารักมากเลย ช่วงที่เราไป มีคุณป้าคนนึงใช้ตลอด ขึ้นไปพร้อมๆ กับเราตลอดค่ะ ส่วนคุณลุง(สามี) เป็นคนเข็นรถเข็นให้ โอย น่ารัก

พอลงจากปราสาท แล้วเราก็เดินไปมิวเซียมใกล้ๆ ค่ะ สรุปว่าเป็นมิวเซียมของนักเขียนที่สำคัญคนนึงของญี่ปุ่น เขียนทั้งสไตล์นิยาย หรือประวัติศาสตร์ ความรู้ต่างๆ โดยเค้าเป็นผู้ที่ผ่านช่วงสงครามโลกมา และมีอิทธิพลในสมัยนึงมากเลยทีเดียวค่ะ

เดินชมมิวเซียมเรียบร้อยแล้วก็ไปที่สวนญี่ปุ่นต่อเลย โชคดีมากที่วันที่เราไป เค้าให้ชาวต่างชาติแต่งชุดกิโมโนฟรีค่ะ แถมยังถ่ายรูปให้ฟรีอีกด้วย ตอนแรกเราก็แบบ มันจะฟรีจริงเหรอวะ แต่เออ เราอยากใส่กิโมโนถ่ายรูปมาตั้งแต่ตอนไปเกียวโตแล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีเวลา วันนี้ถึงแม้สุดท้ายอาจจะต้องจ่ายเงินก็โอเคแหละ พอคิดได้แบบนี้ก็เลยตอบตกลงเค้าไปว่า I want to try

ตามที่เค้าแจ้งแล้ว แคมเปญนี้ผู้หญิงเข้ามาได้ตลอดเลย แต่สำหรับผู้ชาย จะได้ 20 คนแรกเท่านั้น และต้องจองล่วงหน้าด้วย แฟนเราก็เลยนั่งรอไป เราก็เดินตามเจ้าหน้าที่เค้าไปค่ะ คนที่คอยนำทางแต่ละจุดน่ารักมาก พูดภาษาอังกฤษได้คนละ 2-3 คำเท่านั้น แต่ก็สื่อกันรู้เรื่องค่ะ เค้าให้เราเลือกตัวกิโมโนก่อน แล้วค่อยเลือกโอบิ ตามด้วยสายรัดโอบิ เราก็ให้เค้าช่วยเลือกด้วย ให้เค้าช่วยแมทช์สีให้ค่ะ

พอเลือกชุดเสร็จ เค้าจะเอาชุดทั้งเซ็ตใส่ถุง แล้วให้เราถือถุงไปห้องแต่งตัว คนที่คอยรับเราที่ห้องแต่งตัวจะเป็นอีกคนนึงค่ะ ในห้องแต่งตัวไม่ใช่ห้องส่วนตัวนะคะ ผู้หญิงหลายคนเปลี่ยนชุดในนี้ค่ะ เราไม่ได้ใส่เสื้อซับในไป ก็ถอดออกเหลือแต่บรา 555555 คือเค้าถามเราแบบตกใจมากว่า Do you have anything inside? Only your bra? 555 คือเราก็ไม่มายนะ ก็แก้ผ้าเลย เหลือแต่บรา แคร์อะไร มีแต่ผู้หญิง แต่ว่าคนอื่นเหมือนเค้าจะมีเสื้อสายเดี่ยวซับในกันหมดเลย 555

แต่งตัวเสร็จออกมา ปรากฏว่า แฟนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วค่ะ คือ นางพูดญี่ปุ่นได้ ระหว่างรอเรานางก็เมาท์มอยกะสต๊าฟผู้ชายไป เค้าเลยบอกให้เข้าไปเปลี่ยนได้เลย ซะงั้น คุณลุงสต๊าฟลัดคิวให้ค่ะ

กลายเป็นว่า โชคดี ได้ใส่ชุดญี่ปุ่นทั้งคู่ค่ะ ตัวสวนญี่ปุ่นเองไม่ใหญ่ค่ะ ต้นไม้ร่มรื่นดี มีสะพาน มีปลา อบอุ่น

ตั้งแต่ออกจากห้องแต่งตัว จะมีตากล้องเดินตาม 1-2 คนเลยค่ะ น่ารักมาก คือ เหมือนจ้างเค้ามาถ่ายอะไรยังงั้นเลย ถ่ายให้หลายช็อตมาก จัดเต็มมาก จนเราแบบ เฮ้ย จะไม่เสียเงินจริงๆ เหรอ ด้านบนคือรูปที่เค้าพิมพ์ให้เราค่ะ สวยงามเรียบร้อยใส่ซองให้เลย เราได้รับตอนที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ให้ฟรีๆ เลย ได้มาทั้งหมด 4-5 รูปค่ะ

ส่วน 2 รูปนี้ถ่ายเองค่ะ 555 คือพอตากล้องถ่ายพวกเราเสร็จ (ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที) เค้าก็ปล่อยเราเดินเล่นเองค่ะ เดินออกไปได้ที่ด้านนอกสวน ตรงริมปราสาทโคคุระ ก็เลยได้มุมกำแพงอะไรต่างๆ มาด้วย

สรุปว่าค่าชุด ค่ารูป ฟรีทุกอย่างค่ะ โอ๊ย อยากจะจ่ายเงินเลยจริงๆ นะ ทุกคนดีมาก พูดจาดีมากๆ ด้วยค่ะ เอาง่ายๆ ถ้าเป็นที่ไทย มาบอกว่าฟรีๆ แบบนี้ โดนฟันหัวค่าปริ๊นท์รูปใบละ 200 อะเราว่า (แบบพวกเวดดิ้งสตูดิโอชอบหากินอะค่ะ) แต่คนญี่ปุ่น ฟรี คือฟรีจริงๆ รักตรงนี้

ออกจากปราสาทโคคุระก็ทานข้าวเที่ยงค่ะ ข้างๆ ปราสาทมีห้างใหญ่เลย เรากินราเมนที่นั่น จำชื่อร้านไม่ได้ละ ก็รสชาติใช้ได้ค่ะ จากนั้นก็เดินทะลุผ่านย่านการค้า เพื่อกลับเข้าโรงแรมค่ะ ระหว่างทางก็มีร้านอาหาร ร้านขายของอะไรมากมาย ร้านในรูปด้านบนเป็นร้านชาค่ะ ขายขนมและซอฟต์ครีมที่ทำจากชา มันก็ไม่แปลกใช่มั้ยคะ แต่ที่แปลกสำหรับเราคือ นอกจากซอฟต์ครีมมัทฉะแล้ว เค้ามีรสโฮจิฉะด้วย (โฮจิฉะเป็นชาเขียวอีกประเภทนึงค่ะ เราชอบดื่มมาก) 330 เยน

เมื่อเช้าเราเช็คเอาท์ไว้แล้วค่ะ พอถึงโรงแรมก็แค่เอากระเป๋าที่ฝากไว้ จุดหมายต่อไปของเราคือ ไปนางาซากิค่ะ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึงนางาซากิตอนประมาณ 6 โมงเย็น เดินจากสถานีนิดเดียว ก็ถึงโรงแรม APA Hotel Nagasaki-ekimae เช็คอินเรียบร้อย กลิ้งไปมา

เนื่องจากวันนี้ทุกอย่างค่อนข้างเสร็จเร็ว เราเลยโยกโปรแกรมชมวิวบน Inasayama มาวันนี้เลย

เค้าเคลมกันว่า จุดชมวิว Inasayama นั้น ติด 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น แหม เคลมมาซะขนาดนี้ ใครไปนางาซากิ จะไม่ไปได้ยังไงใช่ปะคะ

วิธีการไปมีหลายวิธีค่ะ คือเหมาแท็กซี่ขึ้นไป หรือนั่ง Ropeway (กระเช้า) ขึ้นไปข้างบนค่ะ แน่นอน ประสบการณ์ที่หายาก คือการขึ้นกระเช้านั่นเอง ระหว่างทางวิวก็ต้องสวยแน่ๆ เลย คิดแบบนั้นเราเลยตัดสินใจขึ้นกระเช้าค่ะ

การไปสถานีขึ้นกระเช้าไม่ยากเท่าไหร่ค่ะ แต่เดินเหนื่อย 5555 วิธีการคือ นั่ง tram ไปลงสถานี Takaramachi ค่ะ (เนื่องจากโรงแรมเราอยู่หน้าสถานีเลย ซึ่งเป็นป้ายแทรมด้วย เลยสะดวกมากๆ)

Credit: Alamy Stock Photo

Credit: Alamy Stock Photo

แทรม หรือรถรางนั้น ราคารอบละ 120 เยน หรือใครจะนั่งไปกลับเยอะๆ สามารถซื้อตั๋ววันได้ที่สถานีรถไฟ ราคา 500 เยนค่ะ การจ่ายเงิน ต้องจ่ายเงินแบบพอดีเท่านั้น หากใครไม่มีเหรียญ สามารถแลกเหรียญได้ที่เครื่องแลกเหรียญ อยู่ข้างคนขับค่ะ (ใส่แบงค์พันเข้าไปในเครื่องได้เลย)

จากสถานี Takaramachai เดินไปทางตะวันตก เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไป แล้วเลี้ยวไปทางแยกทางขวาทันทีที่สุดสะพานค่ะ จากเส้นนั้น จะเป็นทางเดินขึ้นเขานิดๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะเจอประตูศาลเจ้าใหญ่ๆ ก็คือ สถานี Fuji Shrine ของ Ropeway นั่นเอง แต่พวกเราเดินหลงไม่ได้เลี้ยวขวาแรกไป เลยเดินขึ้นไปจนเจอ Ringer Hut เลยได้กิน Saraudon อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากจังหวัดนางาซากินั่นเอง (แต่จริงๆ Ringer Hut ก็หากินได้ทั่วญี่ปุ่น รวมถึงที่ไทยด้วย – -“)

การเดินทางที่กล่าวไปข้างต้น มาจากการหาข้อมูลของเราค่ะ ทั้งจากบล็อกคนไทย จากเว็บฝรั่ง แต่พอไปถึงสถานที่จริงๆ แล้ว แม่เจ้า.. เค้ามี Free Bus บริการ จากหน้าโรงแรมเลยค่ะ เป็นแบบไปกลับซะด้วย แต่ต้องจองล่วงหน้า คือให้เราติดต่อ reception โรงแรมค่ะ ลองถามได้เลยว่า โรงแรมเรารถบัสไป Ropeway จอดมั้ย โถ่ว ซึ่งรอบแรกของรถบัสจะออกจากจุดแรกคือ 19:00 น. นะคะ รายละเอียดดูได้ที่นี่ nagasaki-ropeway.jp/bus/ ใช้ Google Translate แปลเอาน้า

Ropeway นั้นเปิดตั้งแต่ 10:00-21:00 ค่ะ ราคาไปกลับอยู่ที่ 1,230 เยน tips ใน 4sq บอกว่า หลายๆ โรงแรมจะมีบัตรส่วนลดที่นี่ให้ด้วย ให้ลองถามรีเซปชั่นดู ตอนที่เราไปเราไม่ได้ถามโรงแรม เพราะไม่รู้มาก่อนเลย 5555 แต่ช่วงที่เราไป เค้ามีให้ปริ๊นท์คูปองลดราคาไปจากหน้าเว็บ เหลือราคาไปกลับ 1,100 เยนเท่านั้น nagasaki-ropeway.jp/facility/coupon.php

ความหฤหรรษ์แรกที่ไปถึงคือ คิว-ยาว-มากกกกกกก ทั้งคิวซื้อตั๋ว และคิวขึ้น Ropeway ค่ะ (แยกกัน) กระเช้าหนึ่งเข้าได้ 31 คนเท่านั้นค่ะ มีสองกระเช้า สลับกันขึ้นลง สรุปวันนั้นเราต่อแถวรอประมาณชั่วโมงครึ่ง ค่ะ กว่าจะได้ขึ้น โชคดีมาก ที่เดินหลงไปเจอ Ringer Hut แล้วกินข้าวมาก่อน

พอถึงด้านบน ก็สยองขวัญเลย เพราะเห็นแถวคนต่อคิว รอขึ้น Ropeway ลงไปข้างล่างยาวมากเหมือนกัน – -” แต่ตอนนั้นคือ เออช่างมันเหอะ

จุดชมวิวจะอยู่ชั้น 2 หรือ 3 เนี่ยแหละ สามารถขึ้นลิฟต์ไปได้ หรือว่าจะเดินขึ้นไปจากภายในหอชมวิวก็ได้เช่นกันค่ะ ที่ด้านหน้าหอชมวิวมีจุดถ่ายรูปอยู่ แพ็คเกจต่ำสุดรู้สึกจะ 1,400 เยนค่ะ ถ่ายกับวิวเมืองด้านล่าง พวกเราก็โดนกันไปตามระเบียบ 5555 แต่ว่าเค้าจะส่งไปรษณีย์ไปที่ที่อยู่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ไม่ใช่ว่าถ่ายแล้วได้รับเลย เพราะฉะนั้นเราว่าไม่ค่อยเหมาะกับชาวต่างชาติเท่าไหร่ค่ะ (เราได้รับตอนที่กลับไปโตเกียวแล้วพอดี ก็ใช้เวลาประมาณ 4-5 วันเท่านั้นเองค่ะ)

ข้างบนลมแรงและค่อนข้างหนาว พวกเราอยู่กันไม่นานค่ะ ส่วนตัวคือคิดว่าไม่ได้สวยเท่าที่คิดอะ ที่บูดาเปสท์สวยกว่ามาก (เอาไปเปรียบกันคงไม่ได้เนอะ 555) คือมันไม่ค่อยมีแลนด์มาร์คให้เห็นชัดน่ะค่ะ แล้ววิวก็อยู่ไกลมากกกกก

แต่ที่น่าสนใจคือเสาส่งสัญญาณค่ะ มีสองเสา ข้างๆ หอชมวิวเลย แล้วเสานี้จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล หรือบางช่วงจะเล่นโชว์ไฟเลย จากรูปจะเห็นว่าเราเปลี่ยนชุดนะคะ มาใส่เสื้อกะกางเกงขายาวแทน ใส่เดรสสั้นเหมือนตอนกลางวันไม่ไหว อากาศหนาวเลยแหละวันนั้น ใครจะขึ้นไป Inasayama ก็ใส่เสื้อหนากว่าตอนอยู่ข้างล่างอีกสักชิ้นนึงดีกว่าค่ะ

ตอนกลับลงมา คิวรอกลับ Ropeway ยาวมากกกกก เราเลยพยายามหาทางเลือก ระหว่างที่คนนึงต่อคิว อีกคนก็ไปเดินเซอร์เวย์หาทางกลับค่ะ มีแท็กซี่ที่จอดอยู่แถวนั้น แต่พอคุยแล้วก็ได้ความว่าเค้ารอลูกค้ากลับลงไปข้างล่างอยู่ (คือเหมาไปกลับ) รถบัสที่จอดอยู่ก็มีแต่รถบัสทัวร์ เราเห็นป้ายเหมือนป้ายรถเมล์ด้วยนะ แต่ไม่แน่ใจว่ารถจะมามั้ย แล้วสุดท้ายคือ มีคนต่อคิวรอแท็กซี่ด้วยค่ะ คือ โทรเรียกขึ้นมา

ระหว่างพยายามหาทางเลือกเสริมอยู่ ก็เลยรู้สึกช่างแม่งขึ้นมา เออต่อคิวไปเรื่อยๆ ก็ได้ – – สรุปรอกลับประมาณชั่วโมงครึ่ง กว่าจะได้ลงเหมือนเดิมค่ะ

พอลงมาถึงข้างล่าง ก็พยายามจะเดินกลับไปที่สถานีแทรมค่ะ แต่เดินไปได้สักพักก็ท้อแท้ขึ้นมา อยากนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมแล้ว T^T ก็เลยเดินไปมองหาแท็กซี่ไป สุดท้ายได้แท็กซี่ที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเลย (จะถึงแทรมอยู่ละ) ก็นั่งกลับไปโรงแรมเลยค่ะ ตายสนิท (ค่าแท็กซี่ 610 เยนเองค่ะ)

กลับเข้าโรงแรมมาได้แป๊ปเดียวก็หิวอีกครั้งจ้า เลยเดินสำรวจแถวๆ ใกล้ๆ โรงแรม ร้านอาหารไม่ค่อยมีเปิดอยู่เท่าไหร่ ตอนนั้นเกือบเที่ยงคืนแล้ว สุดท้ายเข้าร้าน 魚民 (Yumin) ค่ะ

แซลมอนทอดราสชีส

กุ้งเล็กทอดเทมปุระ

ไข่ตุ๋นอะไรสักอย่าง รสชาติแบบไข่น้ำเลย คือให้ตักไข่มากินกับซุปใสๆ อะ

จานสุดท้าย ซีฟู้ดย่าง พออิ่มหนำสำราญเรียบร้อย ก็กลับห้องไปสลบเหมือดค่ะ โปรแกรมวันที่ 3 คือ Huis Ten Bosch สวนสนุกธีมฮอลแลนด์ค่ะ ถ้าเขียนเสร็จเรียบร้อย จะมาอัปเดตลิงก์นะคะ ^^

สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 2 อย่างที่บอกในตอนที่แล้วนะคะ ค่าใช้จ่ายในตารางนี้เป็นของ 2 คนค่ะ โดยมีค่ารถไฟในส่วนของแฟนเราเข้ามาด้วย เพราะเค้าถือบัตร JR Pass ไม่ได้ค่ะ

[Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 1: Spaceworld

29 Apr – 4 May 16 ที่ผ่านมา เราไปเที่ยวโซน Fukuoka มาค่ะ โดยจังหวัดที่ไปหลักๆ คือ Fukuoka กับ Nagasaki เท่านั้น ตอนแรกเราวางแผนไป Kumamoto ด้วย แต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่อเนื่องเสียก่อน เลยพับคุมะโมโต้ไปเพียง 3 วันก่อนเดินทาง แล้วเพิ่มโปรแกรมในฟุกุโอกะกับนางาซากิอย่างละนิดอย่างละหน่อยเข้ามาแทน

จริงๆ ตอนเริ่มวางโปรแกรมตอนแรก เราอยากไปหลายที่มาก มากเกินไปจนพยายามยัด จนเกือบจะเป็นชะโงกทริป พอทำใจได้เราเลยจัดโปรแกรมใหม่ แล้วมันก็รู้สึกดีกว่าจริงๆ นะคะ ที่มีเวลาได้อย่างเต็มที่ในแต่ละสถานที่ และจะได้มีข้ออ้างว่า จะได้กลับมาอีก ครั้งหน้าไปคุมะโมโต้กับยุฟุอินและเบปปุนะ อะไรแบบนี้ ^^

**หมายเหตุ** รีวิวนี้จะมีรูปหน้าเราและแฟนเป็นจำนวนมาก ไม่ได้อวดผ.ค่ะ แต่ว่ารูปมันมีแค่ประมาณนี้จริงๆ – –

โปรแกรมที่เราวางไว้เป็นแบบนี้ค่ะ

DAY 1 – FRI 29 APR –  Space World

DAY 2 – SAT 30 APR – Kawachi-fujien – Kokura Castle – Nagasaki

DAY 3 – SUN 1 MAY – Nagasaki Peace Park – Huis Ten Bosch – Dejima

DAY 4 – MON 2 MAY – Nagasaki Bio Park (รีวิวแยกไว้ค่ะ คลิกอ่านได้เลย) – Nagasaki Ropeway (Inasayama)

DAY 5 – TUE 3 MAY – Ainoshima – Fukuoka Tower – Seaside Momochi – Canal City

DAY 6 – WED 4 MAY – Dazaifu – Asahi Museum

อันนี้ตามที่วางไว้ก่อนนะ แต่ของจริง เดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายค่ะ 555555 ทุกอย่างมี Unexpected situations เสมอ

DAY 1 – Space World

เราบิน ANA จากสุวรรณภูมิมาลงที่ฮาเนดะ แล้วค่อยต่อเครื่องไปฟุกุโอกะค่ะ ราคาไม่ถูกหรอกนะ ถถถถ ช่วงเทศกาลก็อย่างนี้ แถมยิ่งซื้อๆ ไป พอกลับมาเช็คราคาทำไมมันถูกลงวะ เออเอาเหอะ

NH850 BKK-HND 22:10 – 06:20

NH245 HND-FUK 09:00 – 10:50

ANA ให้โควต้ากระเป๋า 2 ใบ ใบละ 23 kg ทั้งไฟลท์ Inter และ Domestic เลยค่ะ เพราะว่าเราซื้อตั๋วแบบ Multiple-city

ไฟลท์จากกรุงเทพออกดึก พอเครื่องเข้าสู่ช่วง cruising แล้ว ANA ก็มีเซอร์วิสตามปกติค่ะ น้ำต่างๆ แล้วแจกถุงยังชีพ เป็นน้ำเปล่าขวดนึง คุกกี้ แล้วก็ขนมปังชิ้นนึงค่ะ เรายัดทุกอย่างเข้าปากหลังจากที่แอร์แจกถุงมาเลยค่ะ หิวมาก 5555 เพราะเราไม่ได้กินข้าวเย็น คือ ออกจากบ้านแบบฉิวเฉียดมากกกกก วิ่งมาเข้าเลาจ์ King Power ก็กินแซนวิชไปได้ 2-3 ชิ้น ก็ต้องวิ่งออกมาขึ้นเครื่อง เลาจ์อยู่ไกลเกิ๊น

ส่วนตอนเช้า จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรให้เลือกบ้าง แต่เราก็เลือกออมเล็ตค่ะ ใช้ได้เลยแหละ มียาคูลท์ให้ด้วย และก็ตามสไตล์เส้นทางญี่ปุ่นเนอะ ต้องมีซารุโซบะหรืออุด้งมาให้เป็น Side Dish

แลนด์ดิ้งที่ฮาเนดะ ผ่าน ตม. แล้วก็ไปรับกระเป๋าค่ะ กระเป๋าไม่ Check-through นะคะ ต้องเอาออกมาโหลดใหม่อีกครั้ง พอผ่านด่าน Custom แล้วก็มาซิมโทรศัพท์กันก่อนเลย

ซิมยี่ห้อ Wi-Ho! นี้ เราไปญี่ปุ่น 4 ครั้ง ซื้อมาใช้ตลอด ไม่เคยผิดหวังค่ะ สัญญาณดี ใช้งานง่าย แต่แพ็คเกจมีการเปลี่ยนแปลงราคาเรื่อยๆ นะคะ รอบนี้แพ็คเกจไม่เหมือนคราวก่อนที่เรามาเหมือนกัน ใครที่เล่นเน็ตเยอะเราแนะนำซื้อซิมแบบนี้ดีกว่า Pocket Wi-Fi นะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด หรือยิ่งมาหลายคน จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาแยกกันเดิน ดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยค่ะ https://sim.telecomsquare.co.jp/

เค้าจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ Data+Voice หรือ Data อย่างเดียว แน่นอนว่า Data อย่างเดียวถูกกว่าค่ะ เราก็เลือกแบบนี้ เวลาโทรก็ใช้ LINE Call เอา

แพ็คเกจที่เราซื้อ คือ 3GB 5,500 เยนนะคะ เนื่องจากเราจะไปโตเกียวต่อ คืออยู่ญี่ปุ่นทั้งหมด 10 วัน ถ้าซื้อแพ็คเกจแรก 1.5GB จะใช้ได้ 7 วัน ก็ต้องเติมเงินเข้าไปค่ะ จะอยู่ได้ต่ออีก 30 วัน ซึ่งเติมเงินขั้นต่ำคือ 1GB ราคา 1,980 เยน (สามารถเติมผ่านเว็บไซต์ของเค้าแล้วตัดผ่านบัตรเครดิตได้ค่ะ) ทำให้ราคารวม กลายเป็น 5,480 เยน ราคาไม่ต่างกันเลย ซื้อ 3GB ไปเลยคุ้มกว่าเยอะ

ที่สนามบินฮาเนดะ คือออกมาจากคัสตอมแล้วเดินเลี้ยวขวาไปค่ะ ล็อคขายซิมจะชื่อ Rental Mobile สีน้ำเงินๆ หาไม่ยากค่ะ ที่นาริตะก็เหมือนกันค่ะ จะเป็นล็อคสีน้ำเงิน พวกนี้จะอยู่ใกล้ๆ กับที่ขายตั๋ว Airport Limousine ค่ะ รายละเอียดและแผนที่ของร้านในแต่ละสนามบินดูได้ในเว็บเค้าเลย

วิธี Activate ก็ไม่ยากค่ะ ใส่ซิม แล้วต่อ Wi-Fi ของสนามบินไว้ ของ iPhone จะมีขึ้นให้ดาวน์โหลด Profiles ค่ะ ก็ดาวน์โหลดไปตามปกติ แล้วลงทะเบียนผ่านเว็บเค้า ใส่ชื่อนามสกุล อีเมล หมายเลขซีเรียล ก็เรียบร้อยใช้ได้ ส่วนแอนดรอยด์เราไม่เคยลองทำ แต่ว่าในแพ็คเกจเค้ามีขั้นตอนภาษาอังกฤษอย่างละเอียด เราก็ทำตามนั้นไปได้เลยค่ะ ถ้าใครที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยี ก็แกะซิมออกมาใส่เอง แล้วให้ที่ร้านเค้าช่วยทำต่อได้นะคะ

พอเรื่องซิมเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ Domestic Connecting Flight ค่ะ อยู่ที่ชั้น Arrival นั้นเลย เช็คอินโหลดกระเป๋า ผู้โดยสารสามารถผ่านจุดสแกนร่างกาย แล้วขึ้น Shuttle Bus สำหรับผู้โดยสาร Connecting เพื่อนั่งไปด้านในของ Domestic Terminal ได้เลย

แต่แฟนเราจะมาเจอที่ Domestic Terminal ค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เช็คอินโหลดกระเป๋าไป 1 ใบ ส่วนอีกใบเราก็ลากขึ้น Shuttle Bus ปกติ (ลงมาชั้น 1 แล้วออกมาที่หน้าประตูใหญ่เทอร์มินอล) สนามบินฮาเนดะมี Domestic 2 Terminals นะคะ อย่าลืมเช็คให้ดีว่าสายการบินเราอยู่ Terminal ไหน

พอมาถึง Domestic แล้ว เราก็เอากระเป๋าที่เหลือลงไปฝากที่เคาน์เตอร์ชั้นใต้ดินค่ะ (เป็นกระเป๋าสำหรับเที่ยวในโตเกียว) สนนราคาวันละ 500 เยน ชำระเงินตอนวันที่มารับกระเป๋า จากนั้นก็ไปผ่านขั้นตอนอะไรไปตามปกติ อ้อ ที่ญี่ปุ่น ไฟลท์โดเมสติก เอาน้ำเข้าไปได้นะคะ เค้าจะให้เราเปิดขวดให้ แล้วเค้าจะตรวจสอบว่าเป็นน้ำจริงๆ แล้วก็ผ่านเข้าไปได้สบายๆ ไม่ต้องทิ้ง

เคาน์เตอร์ JR Pass จะอยู่ที่เทอร์มินอลอินเตอร์ แต่วันนี้เราบินโดเมสติก เลยจะไปซื้แ JR Pass ที่สถานี JR Hakata แทนค่ะ สถานี subway นั้นอยู่ที่ Domestic Terminal อยู่แล้ว ค่อนข้างสะดวกเลย (หากใครบินตรงมาจากไทยแล้วลงที่ Inter Terminal ต้องนั่ง shuttle bus มาที่ Domestic ก่อนนะคะ ถึงจะลง subway ได้)

เราก็นั่ง subway ไปลงที่ Hakata ค่ะ 260 เยน พอถึง Hakata แล้วก็ไปที่ห้องขายตั๋ว JR ต้องขึ้นไปที่ชั้นบนดินก่อนนะคะ ในห้องนั้น เค้าจะแยกเคาน์เตอร์ JR Pass โดยเฉพาะ เราซื้อ North Kyushu 5 Days ค่ะ ราคา 10,000 เยน

วิธีการใช้ JR Pass คือ เดินเข้าประตูตรงที่เป็นที่กั้นข้างห้องนายสถานีค่ะ แล้วโชว์บัตร JR ให้เค้าดู เวลาออกสถานีก็เช่นกัน ง่ายมากๆ เพราะใน JR Pass จะมีวันหมดอายุตัวใหญ่ๆ อยู่ เค้าก็ดูแค่ตรงนั้นค่ะ

เมื่อได้บัตร JR Pass มาแล้ว เราก็ใช้ขึ้นชินคันเซ็น มุ่งหน้าไปสถานี Kokura ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ถือบัตร JR Pass แล้วจะสำรองที่นั่งได้ตามจำนวนโควต้าโดยไม่เสียเงินเพิ่ม แต่เราไม่ได้จองที่นั่งนะคะ เพราะขี้เกียจและเสียเวลา ตอนยืนรอรถที่ชานชาลา อย่าลืมดูป้ายหรือดูที่พื้น ว่าโบกี้ไหน เป็นโบกี้สำหรับ Non-Reserved นะคะ หรือหากที่สถานีนั้นๆ ไม่มีป้ายบอก ก็ให้สังเกตที่ข้างขบวนรถไฟตอนที่มาจอดเอา (แต่จะเสียเวลาหากเรายืนรอผิดจุด) หากที่ข้างขบวนมีตัวอักษร 白 นั่นหมายถึง เป็นขบวน Non-reserved ค่ะ

สถานี Kokura เป็นสถานีที่จัดว่าใหญ่มากเลยทีเดียว ออกมานอกสถานีแล้วมีลานสะพานลอยแยกซ้ายขวาเต็มไปหมด อารมณ์แบบสถานีช่องนนทรีบ้านเรา ถถถ ในรูปด้านบนคือเค้าเอาน้องแมวมาหาบ้านแหละ แอบสงสารอะ เพราะอากาศเย็นพอควรเลยวันที่ไป

ที่โคคุระ เรานอนโรงแรม Hotel Relief ค่ะ อยู่ใกล้สถานีนิดเดียว ไม่ได้ถ่ายรูปมา ทำไมกัน 55555 เพราะว่าพอถึงห้องที่โรงแรมก็โยนกระเป๋าล้มตัวลงนอนค่ะ เหนื่อยมากกกกกกก บนเครื่องก็ไม่ได้นอน แต่โรงแรมดีนะคะ ใช้ได้เลย สะอาดด้วยค่ะ โชคดีที่ไปถึงแล้วเค้าให้เข้าห้องได้เลย มีห้องทำความสะอาดเสร็จพอดี ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน และร้านอาหารของโรงแรมเหมือนจะติดท็อปๆ ของเมืองเลยเหมือนกัน คนต่อคิวเยอะมาก ชื่อร้าน HUMMINGBIRD by VERYFANCY แต่เราไม่ได้ใช้บริการอะ ไม่มีเวลา เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ

พอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้พักนึง ก็ตั้งสติว่า ต้องออกไปข้างนอกนะะะะ มาเที่ยว ไม่ใช่มานอนนนนน

ตั้งสติล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็เดินออกมานั่ง JR ไปสถานี Spaceworld ค่ะ ใช้เวลา 13 นาทีเท่านั้น ใกล้มาก

Spaceworld เป็นสวนสนุกธีมอวกาศค่ะ มันเป็นอวกาศนัวๆ ยังไงบอกไม่ถูก คือ มีหลายๆ อย่างมาปนกันมากมาย คล้ายๆ ดิสนีย์ คล้ายๆ สตาร์วอร์ แต่ก็ดูลูกทุ่งๆ น่ารักดีค่ะ เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเท่าไหร่

จะเห็นว่าเค้าสร้างจรวดไว้เป็นแลนด์มาร์คใหญ่มาก มองจากข้างนอกคือเห็นอะ พอลงสถานี Spaceworld แล้วก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ค่ะ เดินไกลพอสมควร เราว่าประมาณเกือบกิโลนึงได้เลยอะค่ะ ในรูปนี่เราถ่ายที่ทางเดินระหว่างไปสวนสนุกนะคะ ยังไม่ถึงสักที 55555

วันที่เราไป เป็นวันที่เค้ามี Twilight Free Pass ขายค่ะ มันคือการเข้าสวนสนุกหลังบ่าย 3 ราคา 3,540 เยนเท่านั้น จากราคาเต็มวันปกติคือ 4,630 เยน เออดีงาม ข้อดีของการนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเมื่อกี้

สวนสนุกจะมี Roller Coaster เด็ดๆ อยู่ประมาณ 3-4 อันค่ะ เราก็ไปตระเวนขึ้นมาหมด รอคิวไม่นาน เพราะคนน้อยมาก โล่งมากเลยเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ นอกจาก Roller Coaster แล้วก็มีเครื่องเล่นที่เหมาะกับเด็กๆ เยอะเลยทีเดียวค่ะ พวกม้าหมุน รถบัส พรมวิเศษ หรืออะไรที่มันไม่รุนแรงอะ มีลานกว้าง ลูกบอลยักษ์ ลานสเก๊ต มีพวกล่องแก่งเด็กน้อย อะไรแบบนี้ด้วย น่ารักน่าเอ็นดู

ส่วน Roller Coaster ก็จะเป็นเด็กโตมาต่อคิวค่ะ เค้าจะมีล็อคเกอร์ให้ฝากของ โดยใช้เหรียญ 100 เยน ในการเสียบเข้าไปก่อนค่ะ พอเอากุญแจมาไขออก ก็หยิบเหรียญออกไปได้เหมือนเดิม

ที่ต่อแถวยาวสุดคืออันนี้ละ ชื่อ Saturn เค้าบอกว่าพุ่งตรงขึ้นข้างบนเกือบ 0 องศา เอาจริงๆ คือมันตกใจอะ อยู่ๆ ก็พุ่งออก 5555 ดูคลิปตามนี้

ส่วนอีกอันที่พีคกว่า คือลงมาแล้วเราเกือบอ้วก ชื่อว่า Venus ค่ะ จริงๆ มันไม่ได้อะไรมากมายเลยนะ คงเป็นเพราะเราเล่นมาหลายอันแล้วอะ 555

ประเด็นที่ตลกของอันนี้คือ คนสกรีนตรงทางเข้า ให้เราถอดต่างหูอะไรออกหมดเลย พอขึ้นไปนั่งจริงๆ เค้าให้วางกระเป๋าไว้ที่ใต้เท้าค่ะ ไม่มีล็อคเกอร์ เดี๋ยวนะ.. อันนี้มันตีลังกาไม่ใช่เหรอวะ อะไรของแกร๊ สรุปคือระหว่างตีลังกาไป อีนี่ก็หนีบกระเป๋าด้วยขาไปด้วยค่ะคุณขา ไหวมั้ย

ถัดมาคือ Capybara Cafe ค่ะ ค่าเข้า 500 เยน สามารถกดเครื่องดื่มกินได้อันลิมิตเลยค่ะ ก็จะมีพวกชากาแฟ โค้ก อะไรแบบนี้ เข้าไปนั่งพักผ่อน ชมคาปิบาระผ่านกระจก

หรือจะออกไปตรงโซนคาปิบาระก็ได้ค่ะ เล่นได้ ให้อาหารได้ มีผักขาย ตัวตรงกลางกำลังอึอยู่นะคะ มันอึลงบ่อน้ำ 55555

ถ่ายให้แฟนค่ะ เฮ้ยสวยมากเลย เธอๆ ถ่ายให้เราบ้างสิ

แฟนถ่ายให้ ทำไมไม่สวยแบบที่เราถ่ายเลยอะ เออช่างเหอะ 5555

ตามทางเดินต่างๆ เค้าก็ประดับไฟ ปลูกดอกไม้ไว้เยอะแยะเลยค่ะ สวยดีนะคะ ผู้ใหญ่มาเดินเล่นชมดอกไม้ รอเด็กๆ เล่นเครื่องเล่นได้เลย

พอตอนใกล้จะกลับ เค้ามี Open theatre แสดงรอบทุ่มนึง เป็นการแสดงในความมืด มีคนใส่ชุดเรืองแสงลายต่างๆ ออกมาเต้น สนุกดี แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปมา

ตรงทางออกค่ะ ตรงทางออกค่ะะะะะะ มีห้อง Gachapon ประมาณยี่สิบกว่าตู้ได้ หมดไป 2,000 เยน เราได้เนโกะอัตสึเมะมาเกือบครบ ขาดแค่ตัวเดียว แต่ต้องตัดใจจจจจจ  ฮืออออ (ต้องเซ็ตลิมิตตัวเองค่ะ เพราะไปญี่ปุ่นทุกรอบ หมดให้กับ Gachapon หลายพันเยนทุกรอบ)

ไฟประดับตรงทางออก เป็น Horoscope 12 ราศี เห็นมั้ย เราบอกแล้ว ว่าที่นี่มันนัวๆ เอานั่นเอานี่มามิกซ์ๆ กัน แต่ก็น่ารักดี 555555 เอ้อ เดินที่นี่ทั้งวัน ไม่เจอชาวต่างชาติเลยค่ะ มีแต่คนญี่ปุ่น และส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยประมาณมัธยม ไม่ก็ครอบครัวค่ะ

ออกมาจากสวนสนุกก็หิวมากกกก มาได้ร้านซูชิสายพานที่อยู่ใกล้ๆ สถานีค่ะ สั่งจากหน้าจอก็ได้ หรือว่ารอหยิบจากสายพานก็ได้ มีชาเขียวให้ชง กดกับก๊อกน้ำร้อนที่โต๊ะได้เลย อันนี้ตื่นเต้นมาก เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟกลับ Kokura เข้าโรงแรมนอนค่ะ จบวันแรกอันยาวนานนนนน สลบเหมือด หลับสนิท หลับเป็นตาย

สรุปค่าใช้จ่ายของวันแรกนะคะ เนื่องจากแฟนเรา เค้าใช้ JR Pass ไม่ได้ ก็เลยจะมีค่ารถไฟขึ้นมาค่ะ รายการค่าใช้จ่ายนี้ไม่ได้รวมค่าจิปาถะแบบของกินเล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ บางอันเราก็ลืมใส่เข้าไปค่ะ

อ่านต่อได้ที่ตอนที่ 2 >> [Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 2: Kawachi-fujien – Kokura Castle – Inasayama

 

[Review] Nagasaki Bio Park สวนสัตว์ สวนสนุกแห่งนางาซากิ

ช่วงวันหยุดแรงงานที่ผ่านมา มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ก็ต้องไปเที่ยวสิคะ

ทริปนี้เราเลือกไปโซนฟุกุโอกะ เป็นโซนที่ไม่เคยไป และก็มีหลายเมืองน่าเที่ยวเหลือเกินนนน ภายในเวลาอันจำกัดของเรา ทริปเราจึงออกมาเป็น Fukuoka – Kumamoto – Nagasaki – Fukuoka ค่ะ

แต่ แต่ แต่ ช่วงกลางเดือนเมษาที่ผ่านมา คุมะโมโต้ หรือเมืองคุมะมงของเรานั้น เกิดเหตุแผ่นดินไหวจนไม่กล้าเสี่ยง โดยในทริปคุมะโมโต้ เราได้ใส่ Mt.Aso หรือภูเขาไฟอะโสะเข้าไปในแพลนด้วย จึงทำให้เราต้องแคนเซิลคุมะโมโต้ไป

ที่เกริ่นมาไม่เกี่ยว แค่อยากเล่า 5555 เอาเป็นว่า Nagasaki ไม่ได้มีแค่ Huis Ten Bosch (สวนสนุกธีมฮอลแลนด์), Atomic Bomb (เหตุการณ์โดนระเบิดปรมาณูในช่วงสมัยสงครามโลก), หรือ Inasayama (ยอดภูเขา Inasa ที่เค้าว่าเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น)

แต่เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “Nagasaki Bio Park” (長崎バイオパーク) สวนสัตว์แห่งหนึ่งนั่นเองงง

จากการหาข้อมูล เราไม่เจอรีวิวภาษาไทยเลย (อาจจะหาไม่ดี) แต่ช่วงที่หาข้อมูลท่องเที่ยวนางาซากิ เราก็เสิร์ชสวนสัตว์ไปด้วย เนื่องจากเป็นคนชอบเที่ยวสวนสัตว์มากกกกก :3 ก็เลยมาเจ๊อะกับที่แห่งนี้ รวมถึงช่วงนี้กำลังบ้า Capybara ที่เป็นตัวละครหลักของไบโอปาร์คอยู่พอดี ก็เลยจัดโปรแกรมใหม่ ชั้นจะไปไบโอปาร์คให้ได้!

วันและเวลาทำการ

9:00 – 17:00 เปิดตลอด 365 วัน

ราคา

เฉพาะ Bio Park

  • ผู้ใหญ่ 1,700 Yen
  • เด็ก 13-17 ปี/ผู้สูงอายุ 1,100 Yen
  • เด็ก 3-12 ปี 800 Yen

Bio Park + Pet Animal World (โซนสัตว์เลี้ยง)

  • ผู้ใหญ่ 2,000 Yen
  • เด็ก 13-17 ปี/ผู้สูงอายุ 1,400 Yen
  • เด็ก 3-12 ปี 1,100 Yen

Pet Animal World อย่างเดียว 500 Yen ทุกช่วงอายุ

วิธีการเดินทาง

จากการหาข้อมูลที่ biopark.co.jp เค้าบอกว่า มี Free Shuttle Bus จาก Huis Ten Bosch วันละ 3 รอบค่ะ ซึ่งถ้าใครพักแถวนั้นก็ถือว่าสะดวกเลย หรือว่านั่ง JR ไปที่สถานี HTS ก็ยังได้เลยค่ะ เพียงแต่กว่าเราจะไปถึง HTS ก็อาจจะได้ขึ้น Shuttle Bus รอบ 10:55 แล้วใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางถึงไบโอปาร์คค่ะ

ข้อมูลจาก biopark.co.jp ณ วันที่ 9 พ.ค. 59

แต่ส่วนตัวเราพักอยู่แถวสถานีรถไฟ Nagasaki และช่วงเย็นเรามีแพลนจะไปเดจิมะ กับ Glover Garden ต่อ จึงต้องการไปสวนสัตว์ให้เช้าที่สุด จึงเลือกวิธีนั่งรถบัสไปจากหน้าสถานี Nagasaki เลย

วิธีค้นหารอบรถบัสคือ http://www.nagasaki-bus.co.jp/dia-search/index.php เข้าที่นี่ค่ะ ต้องพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นลงไปในช่องแรกว่า 長崎駅前 (Nagasaki ekimae) ส่วนช่องปลายทาง ใส่ว่า バイオパーク (Bio Park) แล้วก็ใช้ Google Translate แปลเอาเลยค่ะ เลือกวันธรรมดา หรือวันหยุด รวมทั้งใส่เวลาที่เราต้องการลงไป

จากรูป ครึ่งบนเป็นผลเสิร์ชภาษาญี่ปุ่น แล้วพอกด translate ก็ได้ตามครึ่งล่างค่ะ — นั่นคือใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 21 นาที รถบัสออกจาก Nagasaki เวลา 8:08 ถึง Bio Park 9:29 ค่ารถ 790 เยน หัวรถบัสจะเขียนว่าไป Ogushi (大串) นั่นเองค่ะ

หรือ ดูจากไฟล์ตารางรถบัสนี้นะคะ

โดยสายที่เราจะไปคือ Togitsu – Kinkai – Ogushi

วิธีดูตารางก็ตามแบบในรูปเลยค่ะ รอบที่เราเลือกไปคือ ออก 8:08 นั่งบัสตรงยาว ถึงไบโอปาร์ค 9:29 หรือถ้าใครไม่อยากไปเช้ามาก ก็สามารถเลือกไปรอบ 9:56 แล้วไปเปลี่ยนรถที่ปลายทางตอนเวลา 10:43 แล้วขึ้นบัสใหม่ที่มุ่งหน้าไปไบโอปาร์คตอน 10:45 ได้เช่นกันนะคะ

ส่วนรอบเวลาขากลับก็จะอยู่ในส่วนครึ่งหลังของไฟล์ตารางรถเช่นกันค่ะ แค่ดูเวลาที่เริ่มออกจากไบโอปาร์คเพื่อกลับนางาซากิเท่านั้นเอง

ป้ายรถบัสไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่จะเป็นเกาะกลางถนนที่หน้าสถานีรถไฟ Nagasaki ค่ะ วิธีสังเกตรถบัสคือ ที่หน้ารถบัสจะเขียนว่า 時津北部ターミナル・琴海・大串線 ให้เราคอยสังเกตตามนั้น หรือตรงเสาๆ ป้ายรถบัส จะมีตารางรถบัสติดอยู่ค่ะ ก็พยายามหาอันที่เป็น 時津北部ターミナル・琴海・大串線 ที่มีรอบเวลาตรงกับที่เราหามา

อันนี้ต้องขออภัยเรื่องวิธีการเดินทางนิดนึง เพราะตอนนั้นก็สติแตกอยู่เหมือนกัน กลัวหารถบัสไม่เจอ เลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเท่าไหร่ เราถามคนญี่ปุ่นแถวนั้นว่าเราจะไปไบโอปาร์ค รอบเวลา 8:08 แล้วยื่นใบตารางรถบัสให้เค้าดู (ในตารางรถบัสจะไม่มีหมายเลขบัส) เค้าก็ช่วยบอกเราว่ารถบัสเบอร์อะไร (คือ บัสเบอร์ 1 วิ่งผ่านมาเยอะมาก แต่ว่าแต่ละคันวิ่งคนละเส้นกัน ต้องดูที่ตัวอักษรญี่ปุ่นบนหัวรถบัส) ดูตารางที่เสายังไง (ตารางที่เสา จะบอกหมายเลขรถบัส) ให้รอที่เสาไหนค่ะ (คือตรงป้ายรถบัส จะมีเสาอยู่ 3-4 เสา แล้วแต่ละสายจะจอดคนละเสากัน)

รถบัสเก่าบุเรงนองนิดนึง แต่มีแอร์นะ

ถึง Bio Park แล้ว!

พอลงรถบัสที่ไบโอปาร์คแล้วก็เดินมาทางซ้ายมือค่ะ จะเจอทางเข้า ดูยิ่งใหญ่ซาฟารี อลังการมาก มีเจ้านกแก้วมาคอว์และลามะคอยต้อนรับอยู่ด้านหน้า

ส่วนซ้ายมือเลยไปอีกหน่อย จะเห็นป้าย PAW สีเหลืองใหญ่มากๆ อยู่ อันนั้นเป็นโซน Pet Animal World ค่ะ

ตารางค่าตั๋วค่ะ ผู้ใหญ่ ถ้าเข้าเฉพาะไบโอปาร์ค อยู่ที่ 1,700 เยน ถ้ารวม PAW ด้วยจะอยู่ที่ 2,000 ซึ่งเราซื้อแบบ 2,000 ค่ะ

อันนี้เป็นตารางพักของน้องหมาและแมว น้องหมาคือช่องด้านซ้าย ส่วนน้องแมวคือช่องด้านขวา ถ้าเราเข้าโซน PAW ในช่วงเวลานั้นๆ หมา/แมว จะถูกเอาไปเก็บพักไว้ ตอนแรกเราเข้าใจผิด คิดว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เล่นหมาได้ หรือเล่นแมวได้ 😦 ก็กะเวลาว่าจะออกมาตอนบ่ายครึ่งเพื่อเล่นแมว – – โถ่

ไกด์แมปของที่นี่ค่ะ มีภาษาอังกฤษด้วย แต่ว่าเป็นแบบขาวดำวาดแผนผังง่ายๆ ส่วนตัวเราเลือกดูสีๆ ของภาษาญี่ปุ่นเอา 55 มีความน่ารักกว่า

ตรงทางเข้าจะเจอกะปิตัน (คาปิตัน) เป็นคาปิบารา มาสคอตของที่นี่คะ

เข้ามาปุ๊บก็เจอร้านของฝากก่อนเลยยยยย มีไอเท็มคาปิบาราเต็มไปหมด เพราะเป็นไฮไลท์ของที่นี่จริงๆ ค่ะ

ที่นี่เค้าจะมีจุดถ่ายรูปหลายๆ จุดให้เราค่ะ โดยเค้ามีแท่นวางโทรศัพท์ให้เลย เป๊ะมากๆ รวมถึงจากในรูปด้านล่างจะเห็นว่าที่นี่ wheelchair friendly ค่ะ มีทางรถเข็นเกือบตลอด

ถ่ายออกมาก็ดูโอเคนะ 😀

เดินเข้ามาตอนแรกก็เจอบ่อน้ำกว้างใหญ่ค่ะ แล้วก็มีเจ้านกพวกนี้อยู่

แล้วเดินมานิดนึงก็เจอคอกลามะ (Llama) เฟรนด์ลี่มากลูบหัวได้

ตรงข้ามคอกลามะ เป็นสนามมาราค่ะ (Pantagonian Mara) ที่ไบโอปาร์คนี้จะไม่ค่อย Informative ลงดีเทลมากว่าสัตว์นี้เป็นยังไง ขนาดเท่าไหร่ ฯลฯ คือเค้าจะมีป้ายสรุปเล็กๆ ที่ด้านหน้าว่า มาจากทวีปไหน กินอะไรเป็นอาหาร ประมาณนี้ค่ะมีตู้อาหาร 100 เยน แล้วบิดแบบกดกะชะปองเลยค่ะ พอให้อาหารเสร็จแล้วก็เอาแคปซูลมาหยอดเก็บในช่องข้างๆ ตู้มีตู้อาหาร 100 เยน แล้วบิดแบบกดกะชะปองเลยค่ะ พอให้อาหารเสร็จแล้วก็เอาแคปซูลมาหยอดเก็บในช่องข้างๆ ตู้เซลฟี่~เล่นกับมาราสนุกสนานแล้วก็ไปต่อค่ะเข้ามาใน Amazon Dome ค่ะ มีดอกไม้ต้นหญ้าต่างๆ แล้วก็มี Fruit Bat ด้วยออกจากโดมมาก็เห็นคนมุงอะไรเยอะแยะ ตรงโซนนี้จะดูเป็นป่ามากๆ เลยค่ะ เหมือนเดินป่าพื้นปูนเลย
สาเหตุคือ เจ้า Lemur นั่นเองค่ะ

ตรงนี้เรามองว่าหลายคนอาจดราม่าสวนสัตว์ว่าทำให้สัตว์ติดขออาหาร แต่ส่วนตัวเรามองว่าสัตว์ในสวนสัตว์ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แค่รออาหารจาก จนท. หรือจากนักท่องเที่ยวเท่านั้นเองค่ะ เค้าไม่ใช่สัตว์ป่าอีกแล้ว เค้ากลายเป็นสัตว์เลี้ยง

เราเองก็เสีย 100 เยนให้เจ้า Lemur เหมือนกัน ดึงมือเข้าไปกินเลยนะ มือนิ่มมาก

ถัดจาก Lemur ก็เจอเพนกวินว่ายน้ำอยู่ตัวนึง อันนี้น่าสงสารจริง น่าจะเหงาอะ

แขกที่นี่เป็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นซะ 90% เลยค่ะ มาพร้อมคุณตาคุณยาย รถเข็นเด็ก เราเจอครอบครัวชาวต่างชาติแค่บ้านเดียวเองค่ะ แล้วก็มีเรา 5555

บีเวอร์หางใหญ่

เดินมาสักพักก็ถึงบ่อฟลามิงโก้ค่ะ

มีอาหารฟลามิงโก้ขายด้วย ส่วนตัวเราขอบาย เพราะเราไม่ใช่ #ทีมนก ค่ะ

นกแก้วมาคอว์ก็เดินผ่านเฉยๆ ค่ะ กลัววว จริงๆ เหมือนจะมีบ้านแมลงแถวๆ นี้ด้วยค่ะ แต่ไม่ได้แวะเข้า ไม่ใช่ #ทีมแมลง เช่นกัน

และแล้วเราก็มาถึงจุดพักทานข้าววววว มีโต๊ะนั่งทั้งด้านนอกและในห้องแอร์ค่ะ มีร้านไอติมด้วย 

มีห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมขนาดใหญ่เลยแหละ สมแล้วที่เป็น Family friendly

ส่วนของร้านอาหารชื่อ Quena ค่ะ เราไปสั่งและจ่ายเงินที่ด้านซ้าย (ก่อนเข้าไปสั่งจะมีป้ายเมนูอาหารพร้อมภาพประกอบอยู่ค่ะ) ส่วนตัวเราสั่ง Karekatsu หรือข้าวหมูทอดราดแกงกะหรี่นั่นเอง ราคาประมาณ 800 เยน ไม่แพงมากเลยค่ะ พอจ่ายเงินเรียบร้อย เค้าจะให้แท็กเรามา ให้เราเอาแท็กไปยื่นตรงช่องอาหาร เช่น ถ้าเราสั่งอุด้ง ให้ไปรับอุด้งที่ช่องสีขาว (ตามรูป) เป็นต้นค่ะ

กำลังรอคุณป้าตักข้าวให้อยู่ มีสลัดมันฝรั่งให้ด้วย 😀

ทาด๊า~ น่ากินและอร่อยมากๆๆ ตักผักดองได้เองค่า คุณป้ามองเราใหญ่เลยว่าจะตักเยอะไปไหนวะ 555

ไก่ทอดร้อนๆ~

มีตู้กดน้ำทานได้ฟรีค่ะ ปุ่มสีฟ้าคือน้ำเปล่า สีแดงคือน้ำร้อน สีเขียวคือน้ำชาค่ะ

มีผ้าเย็นเช็ดมือให้ด้วย และสามารถนำเก้าอี้เด็กไปใช้ได้เลย45

พอออกมาด้านนอกก็พบว่ามีชุดตกกุ้งให้เช่าค่ะ เด็กๆ เอ็นจอยกันใหญ่เลย แต่เราขอบาย

เดินถัดมาอีกนิดก็พบคอกแพะภูเขาค่ะ ลูกแพะน่ารักมากกกก

สมเสร็จก็มีนะ (คิดว่าใช่)

และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ค่าาา คาปิบารานั่นเองงงงป๊อปปูลาร์มากค่ะรูปนี้คุณแฟนแอบถ่ายค่ะ แต่เอ๊อะ.. ทำไมทรงก้นออกมาเหมือนกันเลยกินมั้ยๆๆ จะแกะแคปซูลอาหารละนะ

ในกลางโซนคาปิบารานั้นเอง กล้องเราก็ได้ตายจากไปค่ะ เมื่อคืนลืมชาร์จแบต – – จริงๆ แล้วที่นี่มีออนเซ็นคาปิบาราด้วย แต่ช่วงนี้เค้าไม่ได้เปิดน้ำไว้ในบ่อ ไม่รู้ทำไม อดเลยยยยยยย

คาปิบาราร้องได้ด้วยนะ เอ็นดูมากกกก >w<

ใช้เวลากับคาปิบาราพอสมควรค่ะ แล้วก็ออกมาเดินต่อ มีสัตว์ต่างๆ มากมายสกังค์OtterSouthern Coatiสมเสร็จอีกสายพันธุ์นึงMeerkat ให้อาหารได้ด้วยนะ เป็นหนอนสดๆ – – ขอบายค่าอัลปาก้าบ่อแรคคูนค่ะ เจอสองคู่กำลังผสมพันธุ์กันด้วย แหม่บ่อเม่น นี่ก็หลับซุกกันบ่อเต่า เต่าเยอะมากกกก มากจนเหมือนเห็บหมาเลยพี่ยี่ราฟ มีตัวเดียว คงจะเหงาอะนกกระจอกเทศ อยู่กับม้าลายในคอกค่ะ พื้นที่คอกค่อนข้างเล็ก อันนี้เราก็สงสารเค้าเหมือนกัน

จากนั้นก็เข้ามาในโซนลิงค่ะ ซึ่งจะมีลิง ลีเมอร์ และก็นกยูงอยู่ในโซนปิดนี้รำแพนให้ดูพอดีเลยลิงนี่นิสัยไม่ค่อยดีค่ะ มาเกาะ ขออาหาร ทั้งโซนเลย – -“ข้อดีของสวนสัตว์นี้คือให้เราสัมผัสสัตว์ได้ แต่ทุกๆ จุดที่มีสัตว์ให้สัมผัส เค้าก็มีอ่างล้างมือพร้อมสบู่ให้ค่ะ

จากนั้นเราก็เข้ามาในโซนของจิงโจ้!

ตอนแรกเห็นนอนๆ ก็น่ารักดี พอยืนเท่านั้นแหละ กลัวค่าาาาา กล้ามใหญ่ไปไหนนนนแต่ตัวที่นอนอยู่ก็ยังดูน่ารักนะ ขอเซลฟี่ด้วยหน่อยน้า~ ขนตาพริ้มจริงเสร็จจากโซนจิงโจ้ก็ใกล้จะหมดแล้วค่ะ บ่อฮิปโปคืออ้าปากขอกินผักตามเคย

ผ่านบ่อปลาอะเมซอน คือน่ากลัวมากสุดท้ายก่อนออกคือเจอเจ้าหนู Prairie Dog ตัวเล็กๆ น่าร้ากกกก

เสร็จแล้วเราก็จะออกมาที่ทางออกเดิมค่ะ ผ่านจุดที่มีร้านขายของที่ระลึก ก็ซื้ออะไรติดมือมานิดหน่อย แล้วเราก็เดินไปที่โซน PAW ค่ะ เพื่อจะเล่นหมา/แมว แต่ปรากฏว่า เรา-ทำ-ตั๋ว-หาย 5555555555 เพราะถอดๆ ใส่ๆ เสื้อ อากาศมันร้อนอะค่ะ ก็เลยหายไปตอนไหนไม่รู้ อด! แล้วเวลาที่แพลนว่าจะกลับก็ใกล้เข้ามาแล้ว ก็เลย เออไม่เป็นไร ไปนั่งรอรถบัสก็ได้

ในโซน PAW อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าตารางที่ติดตรงเคาน์เตอร์ขายตั๋วคือเวลาพักของหมาแมว แต่เราไปส่องๆ ดูจากด้านนอกแล้วคือ มีกรงกระต่าย มีพวกสัตว์เลื้อยคลานประเภทอีกัวน่า อะไรแบบนี้ให้เล่นด้วยน่ะค่ะ ส่วนหมากะแมวคือเป็นสไตล์คล้ายๆ คาเฟ่หมา/แมวค่ะ

พอไม่ได้เข้าไปโซน PAW แล้วก็เลยเดินย้อนกลับไปทางที่ขึ้นรถบัส ก็เห็นอะไรบางอย่าง

ข้างในนี้มีของกิน และขนมขายค่ะ เลยได้เจ้านี่ติดมือมา คาปิบาระโดนัท ราคา 200 เยนเท่านั้น คุณป้าคนขายใจดีมาก น่ารักกกก บอกให้เรารอ 30 นาทีแล้วค่อยกิน เพราะโดนัทมันเป็นโดนัทแช่อยู่ในตู้แช่น่ะค่ะ ไม่ใช่ทำสด คุณป้ายังบอกอีกว่า อันนี้เป็น Original ของ Bio Park เลยนะ

แล้วเราก็เดินมารอรถบัสที่ป้ายค่ะ มีตารางเวลารถบัสบอกด้วย (ซึ่งไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกแล้ว) รถบัสที่เห็นในรูป เป็น Shuttle Bus ที่จะไปส่งที่ Huis Ten Bosch ค่ะ ส่วนบัสที่เรารอก็เป็นรถบัสบุเรงนอง 5555

รอบขากลับ เรากลับรอบ 13:34 ไปเปลี่ยนบัสที่ Togitsu Terminal ค่ะ ไม่ยากเพราะว่าเป็นสุดสายของคันที่ขึ้น แล้วค่อยขึ้นคันใหม่ที่ไป Nagasaki Eki มีมากมายเต็มไปหมดค่ะ 😀

โดยสรุปแล้วเราชอบที่นี่มาก เพราะว่าได้สัมผัสกับสัตว์จริงๆ ค่ะ สำหรับเด็กๆ น่าจะเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติที่ดีเลยทีเดียว แต่ข้อเสียก็อย่างที่เขียนไปด้านบนค่ะ คือสัตว์เค้าค่อนข้างเสียธรรมชาติของเค้า (แบบเดียวกับสวนสัตว์อื่นๆ) และสัตว์บางประเภทก็อยู่ตัวเดียวและกรงแคบไปหน่อยค่ะ น่าสงสาร (เช่น ยีราฟ/เพนกวิน มีตัวเดียว ส่วนนกกระจอกเทศมีพื้นที่เล็กมาก) ก็คงเป็นเพราะไฮไลท์ของเค้าอยู่ที่สัตว์เฟรนด์ลี่ที่จะให้คนเข้าไปเล่นได้ (มารา คาปิบารา จิงโจ้) ก็เลยเอาพื้นที่ให้สัตว์กลุ่มนั้นเยอะหน่อย

ขอจบการรีวิวยาวๆ ที่รูปยืดเยื้อเยอะแยะแต่เพียงเท่านี้ค่ะ ใครไปเที่ยวแถบฟุกุโอกะครั้งหน้าก็ลองพิจารณาใส่เข้าไปในโปรแกรมดูนะคะ ไม่ผิดหวังจริงๆ ^^

——————————————————

ติดตามคลิปน่ารักๆ ของเด็กๆ ในสวนสัตว์ได้ตามช่องทางเหล่านี้นะคะ

website: biopark.co.jp

twitter: twitter.com/ngsbiopark

vine: vine.co/ngsbiopark