ทริปตอนที่แล้ว [Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 1: Spaceworld
DAY 2 – Kawachi-fujien – Kokura Castle – Inasayama
วันนี้ทรหดมากค่ะ เพราะเราจะไปดูอุโมงค์ดอกวิสเทอเรียกันที่ Kawachi-fujien การเดินทางโดยรถสาธารณะนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก คือต้องนั่ง JR ไปลงสถานี Yahata แล้วต่อรถบัส ลงป้ายสุดท้ายของรถบัส แล้วเดินไปอีก 1 ชั่วโมง ถึงจะถึงสวนค่ะ!!! ลำบากไปมั้ย!
มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือ นั่ง Shuttle Bus ของออนเซ็นที่อยู่ติดกับสวนมาค่ะ แต่รถบัสนั้นเค้าเอาไว้สำหรับลูกค้าออนเซ็นเท่านั้น (ถึงแม้จะมีคนกว่า 50% ของรถบัสที่ไม่ได้ไปใช้บริการออนเซ็นก็ตาม) แต่เรารู้สึกไม่ดีค่ะ ถ้าจะไปโกงออนเซ็นเค้า
เพราะฉะนั้น ถึงเวลาจริง เราเลยนั่งแท็กซี่จากสถานี Yahata ไปค่ะ (นั่ง JR Local Line จาก Kokura ไปประมาณ 20 นาที) ค่าแท็กซี่ตกอยู่ที่ 2,590 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็คุ้มแหละ
วันนั้นเราออกจากโรงแรมเช้ามากกกกกก ออกจากโรงแรม 6 โมงนิดๆ ค่ะ นั่งรถไฟ และนั่งแท็กซี่ มาถึง Kawachi-fujien ตอน 7 โมงนิดๆ เท่านั้นเอง สวนเปิด 8 โมง โฮ่
ถึงแม้เราจะไปถึงตอน 7 โมงนิดๆ ก็มีคนมาต่อคิวก่อนหน้าเราประมาณ 15 คนได้ค่ะ เนื่องจากว่าวันนี้เป็น Golden Week ด้วย และในเว็บก็ขู่เหลือเกิน ว่ารถติดมาก รถติดมากแน่ๆ เราไม่อยากรถติดบนแท็กซี่ค่ะ ค่าแท็กซี่อ้วกแน่ เลยรีบมาแต่เช้า
ทั้งนี้ เราได้ซื้อบัตรมาก่อนล่วงหน้าแล้วค่ะ คนละ 500 เยน ตัดผ่านบัตรเครดิต เป็นการจองที่ไว้ก่อน เพราะเค้าจะกันโควต้าไว้ในช่วงที่พีคๆ แบบ Golden Week ค่ะ รายละเอียดเราดูจากที่นี่ http://www.japan-guide.com/e/e4881.html
ใครที่จะไปที่นี่ช่วง Golden Week อย่าลืมซื้อตั๋วมาก่อน แล้วปริ๊นท์ตั๋วออกมาด้วยนะคะ
เราต่อคิวไปได้สักพัก ประมาณ 7:40 เค้าก็เปิดให้เข้าได้เลยค่ะ โดยที่เค้าเก็บเงินเราเพิ่มอีกคนละ 1,000 เยน แสดงว่าวันนั้นเป็นวันที่พีคมาก ราคาเต็มของวันนั้นคือ 1,500 เยนนั่นเอง (ราคาแต่ละวันจะไม่เท่ากัน ถ้าดอกไม้บานเยอะก็จะยิ่งแพง)
ข้อดีของการไปเช้าค่ะ ได้รูปที่ไม่มีคนเลย สวยมากก เราเห็นตากล้องที่อุปกรณ์จัดเต็มมากันเยอะเลยทีเดียวค่ะ ดอกวิสเทอเรียมีทั้งสีขาว สีม่วง และสีชมพู
เดินขึ้นมาบนๆ ก็จะเห็นวิวกว้างๆ เป็นมุมด้านบนของดอกไม้ค่ะ สวยมากเลย ยิ่งบรรยากาศตอนเช้า ที่แดดยังไม่แรงมากแล้ว คือดีอะ
ดอกไม้อื่นๆ ก็มีนะคะ มีใบเมเปิ้ลด้วย เดินในสวนประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เดินทั่วแล้วค่ะ เลยขึ้นแท็กซี่ มุ่งตรงมาที่ Kokura Castle เลย เวลาขึ้นแท็กซี่กลับให้แจ้งพนักงานตรงประตูนะคะ เค้าจะจัดคิวขึ้นแท็กซี่ให้ค่ะ โดยรอจากแท็กซี่ที่คนนั่งเข้ามาเนี่ยแหละ
ตอนอยู่บนแท็กซี่ทั้งเราทั้งแฟนหลับค่ะ หลับเป็นตาย พอถึงปราสาทโคคุระ คุณป้าคนขับก็ปลุกเรียก แล้วลดราคาให้ด้วยอะ 55555 จริงๆ มัน 2,5xx คุณป้าบอก 2,500 พอ โอ๊ย เค้าคงเอ็นดูอะ (แต่คุณป้าขับค่อนข้างซิ่ง เราเลยเมารถอะ เพราะถนนบนภูเขามันคดเคี้ยว ป้าก็ซิ่งโค้งไปโค้งมา นี่เลยสลบจ้ะ)
ด้านทางเข้าปราสาทโคคุระค่ะ ตอนเราลงแท็กซี่มา ข้าศึกบุกหนักมาก มองหาห้องน้ำ เห็นป้ายห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกปราสาทค่ะ คือรอบๆ ปราสาทจะเป็นสวนเล็กๆ เราก็วิ่งไปส่งแฟ็กซ์ที่ห้องน้ำในสวนค่ะ ห้องน้ำก็ไม่แย่(มาก)หรอกนะ แต่ไม่มีทิชชู่ และไม่มีถังขยะค่ะ โอย ไมเกรนจะกิน
เรียบร้อยแล้วเราก็เข้ามาด้านในปราสาทค่ะ ปรากฏว่า ห้องน้ำ อยู่ตรงหน้าห้องขายตั๋วในปราสาทเลย น้ำตาจะไหล แล้วเมื่อกี้ชั้นไปเข้าห้องน้ำกรังๆ ในสวนทำไม
ในส่วนของแพ็คเกจที่ปราสาทโคคุระ จะมีให้เลือกค่ะ ว่า 1. ปราสาทอย่างเดียว 2. ปราสาท+สวน 3.ปราสาท+สวน+มิวเซียม
เราเลือกแพ็คเกจสามค่ะ 700 เยนเอง สบายๆ แต่มิวเซียมอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ 555
ในปราสาทก็สนุกดีนะคะ มีเล่าประวัติศาสตร์ มีหุ่นแสดงจำลองเหตุการณ์ต่างๆ น่ารักดีค่ะ แต่มีต้องเดินขึ้นหลายชั้นหน่อย และก็ภาษาอังกฤษที่นี่น้อยค่ะ ก็นัวๆ ไป คือ เมืองโคคุระ เมื่อก่อนเป็นเมืองหลวงเก่าของแถบฟุกุโอกะเลยอะค่ะ เป็นเมืองใหญ่เลย ปราสาทก็เลยใหญ่ มีแม่น้ำ 2 ทิศ ส่วนรูปที่เห็นคือเกี้ยวไดเมียวค่ะ มันโยกได้ด้วย เป็นการจำลองความรู้สึกเวลาเราเป็นราชวงศ์ แล้วบริวารแบกไปบนเกี้ยว 555 แล้วก็มีเครื่องให้เราวิ่งแข่งกับม้าเร็วส่งข่าวด้วย ถ่ายเป็นคลิปมา ตลกมาก 5555
ส่วนชั้นบนสุดของปราสาทโคคุระเป็นที่ชมวิวค่ะ รอบปราสาทเต็มไปด้วยตึกสูงมากมาย แต่ถ้าลองจินตนาการว่าไม่มีตึกเหล่านี้นี่คือวิวดีมากเลยแหละสมัยก่อน อ้อ ชั้นบนมีตู้ไอติมกูลิโกะด้วยนะคะ 😛 กินติมไปนั่งพักผ่อนไป สบายค่ะ
ปราสาทนี้เป็น Step-Free นะคะ คือ มีเก้าอี้เลื่อนขึ้นบันไดให้สำหรับผู้ที่ไม่สามารถขึ้นลงบันไดเองได้ค่ะ น่ารักมากเลย ช่วงที่เราไป มีคุณป้าคนนึงใช้ตลอด ขึ้นไปพร้อมๆ กับเราตลอดค่ะ ส่วนคุณลุง(สามี) เป็นคนเข็นรถเข็นให้ โอย น่ารัก
พอลงจากปราสาท แล้วเราก็เดินไปมิวเซียมใกล้ๆ ค่ะ สรุปว่าเป็นมิวเซียมของนักเขียนที่สำคัญคนนึงของญี่ปุ่น เขียนทั้งสไตล์นิยาย หรือประวัติศาสตร์ ความรู้ต่างๆ โดยเค้าเป็นผู้ที่ผ่านช่วงสงครามโลกมา และมีอิทธิพลในสมัยนึงมากเลยทีเดียวค่ะ
เดินชมมิวเซียมเรียบร้อยแล้วก็ไปที่สวนญี่ปุ่นต่อเลย โชคดีมากที่วันที่เราไป เค้าให้ชาวต่างชาติแต่งชุดกิโมโนฟรีค่ะ แถมยังถ่ายรูปให้ฟรีอีกด้วย ตอนแรกเราก็แบบ มันจะฟรีจริงเหรอวะ แต่เออ เราอยากใส่กิโมโนถ่ายรูปมาตั้งแต่ตอนไปเกียวโตแล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีเวลา วันนี้ถึงแม้สุดท้ายอาจจะต้องจ่ายเงินก็โอเคแหละ พอคิดได้แบบนี้ก็เลยตอบตกลงเค้าไปว่า I want to try
ตามที่เค้าแจ้งแล้ว แคมเปญนี้ผู้หญิงเข้ามาได้ตลอดเลย แต่สำหรับผู้ชาย จะได้ 20 คนแรกเท่านั้น และต้องจองล่วงหน้าด้วย แฟนเราก็เลยนั่งรอไป เราก็เดินตามเจ้าหน้าที่เค้าไปค่ะ คนที่คอยนำทางแต่ละจุดน่ารักมาก พูดภาษาอังกฤษได้คนละ 2-3 คำเท่านั้น แต่ก็สื่อกันรู้เรื่องค่ะ เค้าให้เราเลือกตัวกิโมโนก่อน แล้วค่อยเลือกโอบิ ตามด้วยสายรัดโอบิ เราก็ให้เค้าช่วยเลือกด้วย ให้เค้าช่วยแมทช์สีให้ค่ะ
พอเลือกชุดเสร็จ เค้าจะเอาชุดทั้งเซ็ตใส่ถุง แล้วให้เราถือถุงไปห้องแต่งตัว คนที่คอยรับเราที่ห้องแต่งตัวจะเป็นอีกคนนึงค่ะ ในห้องแต่งตัวไม่ใช่ห้องส่วนตัวนะคะ ผู้หญิงหลายคนเปลี่ยนชุดในนี้ค่ะ เราไม่ได้ใส่เสื้อซับในไป ก็ถอดออกเหลือแต่บรา 555555 คือเค้าถามเราแบบตกใจมากว่า Do you have anything inside? Only your bra? 555 คือเราก็ไม่มายนะ ก็แก้ผ้าเลย เหลือแต่บรา แคร์อะไร มีแต่ผู้หญิง แต่ว่าคนอื่นเหมือนเค้าจะมีเสื้อสายเดี่ยวซับในกันหมดเลย 555
แต่งตัวเสร็จออกมา ปรากฏว่า แฟนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วค่ะ คือ นางพูดญี่ปุ่นได้ ระหว่างรอเรานางก็เมาท์มอยกะสต๊าฟผู้ชายไป เค้าเลยบอกให้เข้าไปเปลี่ยนได้เลย ซะงั้น คุณลุงสต๊าฟลัดคิวให้ค่ะ
กลายเป็นว่า โชคดี ได้ใส่ชุดญี่ปุ่นทั้งคู่ค่ะ ตัวสวนญี่ปุ่นเองไม่ใหญ่ค่ะ ต้นไม้ร่มรื่นดี มีสะพาน มีปลา อบอุ่น
ตั้งแต่ออกจากห้องแต่งตัว จะมีตากล้องเดินตาม 1-2 คนเลยค่ะ น่ารักมาก คือ เหมือนจ้างเค้ามาถ่ายอะไรยังงั้นเลย ถ่ายให้หลายช็อตมาก จัดเต็มมาก จนเราแบบ เฮ้ย จะไม่เสียเงินจริงๆ เหรอ ด้านบนคือรูปที่เค้าพิมพ์ให้เราค่ะ สวยงามเรียบร้อยใส่ซองให้เลย เราได้รับตอนที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ให้ฟรีๆ เลย ได้มาทั้งหมด 4-5 รูปค่ะ
ส่วน 2 รูปนี้ถ่ายเองค่ะ 555 คือพอตากล้องถ่ายพวกเราเสร็จ (ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที) เค้าก็ปล่อยเราเดินเล่นเองค่ะ เดินออกไปได้ที่ด้านนอกสวน ตรงริมปราสาทโคคุระ ก็เลยได้มุมกำแพงอะไรต่างๆ มาด้วย
สรุปว่าค่าชุด ค่ารูป ฟรีทุกอย่างค่ะ โอ๊ย อยากจะจ่ายเงินเลยจริงๆ นะ ทุกคนดีมาก พูดจาดีมากๆ ด้วยค่ะ เอาง่ายๆ ถ้าเป็นที่ไทย มาบอกว่าฟรีๆ แบบนี้ โดนฟันหัวค่าปริ๊นท์รูปใบละ 200 อะเราว่า (แบบพวกเวดดิ้งสตูดิโอชอบหากินอะค่ะ) แต่คนญี่ปุ่น ฟรี คือฟรีจริงๆ รักตรงนี้
ออกจากปราสาทโคคุระก็ทานข้าวเที่ยงค่ะ ข้างๆ ปราสาทมีห้างใหญ่เลย เรากินราเมนที่นั่น จำชื่อร้านไม่ได้ละ ก็รสชาติใช้ได้ค่ะ จากนั้นก็เดินทะลุผ่านย่านการค้า เพื่อกลับเข้าโรงแรมค่ะ ระหว่างทางก็มีร้านอาหาร ร้านขายของอะไรมากมาย ร้านในรูปด้านบนเป็นร้านชาค่ะ ขายขนมและซอฟต์ครีมที่ทำจากชา มันก็ไม่แปลกใช่มั้ยคะ แต่ที่แปลกสำหรับเราคือ นอกจากซอฟต์ครีมมัทฉะแล้ว เค้ามีรสโฮจิฉะด้วย (โฮจิฉะเป็นชาเขียวอีกประเภทนึงค่ะ เราชอบดื่มมาก) 330 เยน
เมื่อเช้าเราเช็คเอาท์ไว้แล้วค่ะ พอถึงโรงแรมก็แค่เอากระเป๋าที่ฝากไว้ จุดหมายต่อไปของเราคือ ไปนางาซากิค่ะ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึงนางาซากิตอนประมาณ 6 โมงเย็น เดินจากสถานีนิดเดียว ก็ถึงโรงแรม APA Hotel Nagasaki-ekimae เช็คอินเรียบร้อย กลิ้งไปมา
เนื่องจากวันนี้ทุกอย่างค่อนข้างเสร็จเร็ว เราเลยโยกโปรแกรมชมวิวบน Inasayama มาวันนี้เลย
เค้าเคลมกันว่า จุดชมวิว Inasayama นั้น ติด 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น แหม เคลมมาซะขนาดนี้ ใครไปนางาซากิ จะไม่ไปได้ยังไงใช่ปะคะ
วิธีการไปมีหลายวิธีค่ะ คือเหมาแท็กซี่ขึ้นไป หรือนั่ง Ropeway (กระเช้า) ขึ้นไปข้างบนค่ะ แน่นอน ประสบการณ์ที่หายาก คือการขึ้นกระเช้านั่นเอง ระหว่างทางวิวก็ต้องสวยแน่ๆ เลย คิดแบบนั้นเราเลยตัดสินใจขึ้นกระเช้าค่ะ
การไปสถานีขึ้นกระเช้าไม่ยากเท่าไหร่ค่ะ แต่เดินเหนื่อย 5555 วิธีการคือ นั่ง tram ไปลงสถานี Takaramachi ค่ะ (เนื่องจากโรงแรมเราอยู่หน้าสถานีเลย ซึ่งเป็นป้ายแทรมด้วย เลยสะดวกมากๆ)

Credit: Alamy Stock Photo
แทรม หรือรถรางนั้น ราคารอบละ 120 เยน หรือใครจะนั่งไปกลับเยอะๆ สามารถซื้อตั๋ววันได้ที่สถานีรถไฟ ราคา 500 เยนค่ะ การจ่ายเงิน ต้องจ่ายเงินแบบพอดีเท่านั้น หากใครไม่มีเหรียญ สามารถแลกเหรียญได้ที่เครื่องแลกเหรียญ อยู่ข้างคนขับค่ะ (ใส่แบงค์พันเข้าไปในเครื่องได้เลย)
จากสถานี Takaramachai เดินไปทางตะวันตก เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไป แล้วเลี้ยวไปทางแยกทางขวาทันทีที่สุดสะพานค่ะ จากเส้นนั้น จะเป็นทางเดินขึ้นเขานิดๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะเจอประตูศาลเจ้าใหญ่ๆ ก็คือ สถานี Fuji Shrine ของ Ropeway นั่นเอง แต่พวกเราเดินหลงไม่ได้เลี้ยวขวาแรกไป เลยเดินขึ้นไปจนเจอ Ringer Hut เลยได้กิน Saraudon อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากจังหวัดนางาซากินั่นเอง (แต่จริงๆ Ringer Hut ก็หากินได้ทั่วญี่ปุ่น รวมถึงที่ไทยด้วย – -“)
การเดินทางที่กล่าวไปข้างต้น มาจากการหาข้อมูลของเราค่ะ ทั้งจากบล็อกคนไทย จากเว็บฝรั่ง แต่พอไปถึงสถานที่จริงๆ แล้ว แม่เจ้า.. เค้ามี Free Bus บริการ จากหน้าโรงแรมเลยค่ะ เป็นแบบไปกลับซะด้วย แต่ต้องจองล่วงหน้า คือให้เราติดต่อ reception โรงแรมค่ะ ลองถามได้เลยว่า โรงแรมเรารถบัสไป Ropeway จอดมั้ย โถ่ว ซึ่งรอบแรกของรถบัสจะออกจากจุดแรกคือ 19:00 น. นะคะ รายละเอียดดูได้ที่นี่ nagasaki-ropeway.jp/bus/ ใช้ Google Translate แปลเอาน้า
Ropeway นั้นเปิดตั้งแต่ 10:00-21:00 ค่ะ ราคาไปกลับอยู่ที่ 1,230 เยน tips ใน 4sq บอกว่า หลายๆ โรงแรมจะมีบัตรส่วนลดที่นี่ให้ด้วย ให้ลองถามรีเซปชั่นดู ตอนที่เราไปเราไม่ได้ถามโรงแรม เพราะไม่รู้มาก่อนเลย 5555 แต่ช่วงที่เราไป เค้ามีให้ปริ๊นท์คูปองลดราคาไปจากหน้าเว็บ เหลือราคาไปกลับ 1,100 เยนเท่านั้น nagasaki-ropeway.jp/facility/coupon.php
ความหฤหรรษ์แรกที่ไปถึงคือ คิว-ยาว-มากกกกกกก ทั้งคิวซื้อตั๋ว และคิวขึ้น Ropeway ค่ะ (แยกกัน) กระเช้าหนึ่งเข้าได้ 31 คนเท่านั้นค่ะ มีสองกระเช้า สลับกันขึ้นลง สรุปวันนั้นเราต่อแถวรอประมาณชั่วโมงครึ่ง ค่ะ กว่าจะได้ขึ้น โชคดีมาก ที่เดินหลงไปเจอ Ringer Hut แล้วกินข้าวมาก่อน
พอถึงด้านบน ก็สยองขวัญเลย เพราะเห็นแถวคนต่อคิว รอขึ้น Ropeway ลงไปข้างล่างยาวมากเหมือนกัน – -” แต่ตอนนั้นคือ เออช่างมันเหอะ
จุดชมวิวจะอยู่ชั้น 2 หรือ 3 เนี่ยแหละ สามารถขึ้นลิฟต์ไปได้ หรือว่าจะเดินขึ้นไปจากภายในหอชมวิวก็ได้เช่นกันค่ะ ที่ด้านหน้าหอชมวิวมีจุดถ่ายรูปอยู่ แพ็คเกจต่ำสุดรู้สึกจะ 1,400 เยนค่ะ ถ่ายกับวิวเมืองด้านล่าง พวกเราก็โดนกันไปตามระเบียบ 5555 แต่ว่าเค้าจะส่งไปรษณีย์ไปที่ที่อยู่ที่ญี่ปุ่นนะคะ ไม่ใช่ว่าถ่ายแล้วได้รับเลย เพราะฉะนั้นเราว่าไม่ค่อยเหมาะกับชาวต่างชาติเท่าไหร่ค่ะ (เราได้รับตอนที่กลับไปโตเกียวแล้วพอดี ก็ใช้เวลาประมาณ 4-5 วันเท่านั้นเองค่ะ)
ข้างบนลมแรงและค่อนข้างหนาว พวกเราอยู่กันไม่นานค่ะ ส่วนตัวคือคิดว่าไม่ได้สวยเท่าที่คิดอะ ที่บูดาเปสท์สวยกว่ามาก (เอาไปเปรียบกันคงไม่ได้เนอะ 555) คือมันไม่ค่อยมีแลนด์มาร์คให้เห็นชัดน่ะค่ะ แล้ววิวก็อยู่ไกลมากกกกก
แต่ที่น่าสนใจคือเสาส่งสัญญาณค่ะ มีสองเสา ข้างๆ หอชมวิวเลย แล้วเสานี้จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล หรือบางช่วงจะเล่นโชว์ไฟเลย จากรูปจะเห็นว่าเราเปลี่ยนชุดนะคะ มาใส่เสื้อกะกางเกงขายาวแทน ใส่เดรสสั้นเหมือนตอนกลางวันไม่ไหว อากาศหนาวเลยแหละวันนั้น ใครจะขึ้นไป Inasayama ก็ใส่เสื้อหนากว่าตอนอยู่ข้างล่างอีกสักชิ้นนึงดีกว่าค่ะ
ตอนกลับลงมา คิวรอกลับ Ropeway ยาวมากกกกก เราเลยพยายามหาทางเลือก ระหว่างที่คนนึงต่อคิว อีกคนก็ไปเดินเซอร์เวย์หาทางกลับค่ะ มีแท็กซี่ที่จอดอยู่แถวนั้น แต่พอคุยแล้วก็ได้ความว่าเค้ารอลูกค้ากลับลงไปข้างล่างอยู่ (คือเหมาไปกลับ) รถบัสที่จอดอยู่ก็มีแต่รถบัสทัวร์ เราเห็นป้ายเหมือนป้ายรถเมล์ด้วยนะ แต่ไม่แน่ใจว่ารถจะมามั้ย แล้วสุดท้ายคือ มีคนต่อคิวรอแท็กซี่ด้วยค่ะ คือ โทรเรียกขึ้นมา
ระหว่างพยายามหาทางเลือกเสริมอยู่ ก็เลยรู้สึกช่างแม่งขึ้นมา เออต่อคิวไปเรื่อยๆ ก็ได้ – – สรุปรอกลับประมาณชั่วโมงครึ่ง กว่าจะได้ลงเหมือนเดิมค่ะ
พอลงมาถึงข้างล่าง ก็พยายามจะเดินกลับไปที่สถานีแทรมค่ะ แต่เดินไปได้สักพักก็ท้อแท้ขึ้นมา อยากนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมแล้ว T^T ก็เลยเดินไปมองหาแท็กซี่ไป สุดท้ายได้แท็กซี่ที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเลย (จะถึงแทรมอยู่ละ) ก็นั่งกลับไปโรงแรมเลยค่ะ ตายสนิท (ค่าแท็กซี่ 610 เยนเองค่ะ)
กลับเข้าโรงแรมมาได้แป๊ปเดียวก็หิวอีกครั้งจ้า เลยเดินสำรวจแถวๆ ใกล้ๆ โรงแรม ร้านอาหารไม่ค่อยมีเปิดอยู่เท่าไหร่ ตอนนั้นเกือบเที่ยงคืนแล้ว สุดท้ายเข้าร้าน 魚民 (Yumin) ค่ะ

แซลมอนทอดราสชีส
กุ้งเล็กทอดเทมปุระ
ไข่ตุ๋นอะไรสักอย่าง รสชาติแบบไข่น้ำเลย คือให้ตักไข่มากินกับซุปใสๆ อะ
จานสุดท้าย ซีฟู้ดย่าง พออิ่มหนำสำราญเรียบร้อย ก็กลับห้องไปสลบเหมือดค่ะ โปรแกรมวันที่ 3 คือ Huis Ten Bosch สวนสนุกธีมฮอลแลนด์ค่ะ ถ้าเขียนเสร็จเรียบร้อย จะมาอัปเดตลิงก์นะคะ ^^
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 2 อย่างที่บอกในตอนที่แล้วนะคะ ค่าใช้จ่ายในตารางนี้เป็นของ 2 คนค่ะ โดยมีค่ารถไฟในส่วนของแฟนเราเข้ามาด้วย เพราะเค้าถือบัตร JR Pass ไม่ได้ค่ะ