หลายๆ คนคงมีคำถามในใจเรื่องการใช้งานอินเตอร์เน็ตเมื่อไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ ออปชั่นหลักๆ คงจะมีดังนี้
- เปิดแพ็คเกจโรมมิ่งของเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ปัจจุบัน
- ซื้อซิมสำหรับใช้ดาต้าโรมมิ่งโดยเฉพาะ ในตลาดตอนนี้ที่รู้จักและใช้งานง่ายมีแค่ AIS Sim2Fly ค่ะ
- ซื้อซิมของเครือข่ายโทรศัพท์ท้องถิ่นนั้นๆ
- อื่นๆ (ไม่แน่ใจ)
ในฐานะที่เราก็เดินทางไปหลายประเทศในหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราจะซื้อซิมท้องถิ่นที่สนามบินตอนที่เราบินไปถึงทันทีค่ะ บางประเทศก็มีความยุ่งยากในการซื้อซิม บางประเทศก็ง่ายแสนง่าย แต่สองทริปล่าสุดเราได้ใช้ AIS Sim2Fly แล้วค่อนข้างถูกและง่าย วันนี้เลยขอลงรายละเอียดของแต่ละข้อไปนะคะ
ออปชั่น 1 – การเปิดแพ็คเกจโรมมิ่งของเครือข่ายที่ใช้งานปัจจุบัน
อันนี้ไม่สามารถพูดถึงได้มากเท่าไหร่ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการใช้ค่ะ ขอเขียนตามความเข้าใจดังนี้ค่ะ
ข้อดี – ใช้เบอร์โทรศัพท์เดิม สะดวก ไม่ต้องตั้งค่าอะไรมากมาย สามารถรับสายโทรเข้าออกได้จากเบอร์ไทย
ข้อเสีย – แพง และมีโอกาสหลุดแพ็คเกจได้ง่าย เช่น สายโทรศัพท์เข้าเยอะกว่าที่คิด หรือใช้เน็ตมากกว่าที่คิด (หลายๆ ผู้ให้บริการมักตัดเน็ตอัตโนมัติหากใช้ครบแพ็คเกจ แต่ก็เสียวอยู่ดี)
สรุป – ออปชั่นนี้จะเหมาะกับผู้มีความจำเป็นต้องติดต่อกิจธุระที่เมืองไทยบ่อยๆ ระหว่างอยู่ต่างประเทศ และมีบัดเจ็ตก้อนใหญ่สำหรับรองรับเรื่องนี้ค่ะ ควรเลือกรายละเอียดแพ็คเกจการให้บริการของเครือข่ายที่ตัวเองใช้งานอยู่ให้เหมาะสมค่ะ ทั้งระยะเวลา ปริมาณการโทรเข้าออก และปริมาณอินเตอร์เน็ตที่ต้องการใช้
ออปชั่น 2 – ซื้อซิมสำหรับใช้ดาต้าโรมมิ่งโดยเฉพาะ
บอกเลยว่าอันนี้ไม่ได้รับเงิน AIS มาแน่นอน แต่เห็นกระทู้พันทิปเยอะแยะมากมายว่าซื้อไปแล้วใช้ไม่ได้ ส่วนตัวเราเองใช้มา 2 ทริปแล้วค่ะด้วยซิมเดิม ค่อนข้างถูกใจเจ้มาก เพราะสะดวก และราคาไม่แพงค่ะ
ปัจจุบัน (24/11/2016) หากซื้อซิมใหม่ จะมีให้เลือก 4 แบบดังรูปด้านล่างค่ะ
เริ่มจากด้านซ้ายนะคะ
- แพ็คเกจ 899 สำหรับใช้อินเตอร์เน็ตได้ในยุโรปและอเมริกาค่ะ ใช้เน็ตได้ 3GB นาน 15 วัน
- แพ็คเกจ 399 สำหรับใช้อินเตอร์เน็ตในเอเชีย 11 ประเทศ (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน อินเดีย ลาว มาเก๊า ฟิลิปปินส์และกัมพูชา) เป็นแพ็คเกจยอดฮิตและโคตรเหมาะกับการไปเที่ยว ใช้เน็ตได้ 3GB แต่เสียดายที่ใช้ได้แค่ 8 วัน
- แพ็คเกจ 199 ใช้ได้ใน 50 กว่าประเทศทั่วโลก ได้เน็ต 20MB อายุการใช้งาน 30 วัน แต่มียอดเงินให้ใช้โทรเข้ารับสายอยู่ 100 บาท
- แพ็คเกจ 50 บาท ใช้ได้ใน 50 กว่าประเทศทั่วโลก อายุการใช้งาน 30 วัน มียอดโทรให้ 15 บาท (เหมือนซิมเปล่านั่นเอง)
สรุปคือเบอร์ 1 และเบอร์ 2 เหมาะสำหรับผู้ที่จะไปใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเดียว ส่วนเบอร์ 3 และ 4 จะเหมาะกับคนที่ต้องการโทรออกรับสายซะมากกว่าค่ะ
สำหรับประชาชนชาวดิจิทัลอย่างพวกเรา แน่นอนค่ะ แพ็คเกจ 399 คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณค่ะ
ขั้นตอนการใช้งานมีดังนี้
- แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป AIS eService ติดเครื่องไว้ก่อนเลยค่ะ สำหรับใช้เติมเงิน เช็คยอดคงเหลือ และซื้อแพ็คเกจเสริม
- หากซื้อออนไลน์ เมื่อได้รับซิมแล้ว ให้เอาซิมพร้อมบัตรประชาชนไปลงทะเบียนที่ AIS Shop หรือ Telewiz เสียก่อนนะคะ ไม่งั้นจะใช้งานไม่ได้ (ซิมเติมเงินทุกซิม ปัจจุบันต้องลงทะเบียนตัวตนก่อนค่ะ)
- หากอยากซื้อที่ AIS Shop เมื่อซื้อแล้วก็ลงทะเบียนตัวตนอย่างเดียว แต่อย่าเพิ่งทดลองใช้ซิมค่ะ (เพราะซิม 899 และ 399 หาก Activate Sim จะเท่ากับเริ่มใช้แพ็คเกจทันที) หรือหากสะดวกในวันเดินทาง ให้ไปซื้อที่ช็อปที่สนามบินเลยก็ได้ค่ะ ที่ช็อปก็จะลงทะเบียนตัวตน พร้อมเปิดใช้งานแพ็คเกจให้เลย
- ระหว่างอยู่บนเครื่อง สลับซิม Sim2Fly มาใส่เครื่อง พอเครื่องแลนด์ดิ้งปุ๊บ ก็ปิด Airplane Mode แล้วรอ SMS คอนเฟิร์มแพ็คเกจเข้า ก็สามารถใช้งานได้เลยค่ะ *อย่าลืม* เปิดการตั้งค่า Cellular Data และ Data Roaming ด้วยนะคะ
- ตอนที่ใส่ซิม Sim2Fly แล้วเปิดใช้งาน ใน iOS จะมีป๊อปอัพเด้งขึ้นมาให้ Update Carrier Setting อะไรสักอย่างค่ะ ก็กดอัปเดตไป เหมือนมันเป็นการตั้งค่ากับเครือข่ายที่ประเทศที่เราใช้งานน่ะค่ะ
- อื่นๆ ก็เป็นการตั้งค่า Profile หรือ APN ใน Android อันนี้ต้องพึ่งความสามารถส่วนตัวแล้วค่ะหากมีปัญหา แต่โดยเบสิคแล้วเราไม่น่าจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมนะคะ ยกเว้นว่าเคยลง Profile (ใน iPhone) การตั้งค่าอินเตอร์เน็ตของยี่ห้ออื่นอะไรไว้ ถ้าแนะนำก็ควรลบ Profile อันเก่าๆ ออกให้หมดค่ะเพื่อความชัวร์ ถ้าเป็น Android ก็ให้ลบ APN เก่าๆ ที่เคยลงไว้ค่ะ เพื่อไม่ให้รบกวนการตั้งค่าอินเตอร์เน็ตของ Sim2Fly ค่ะ
หมายเหตุ – Partner Operator ที่ญี่ปุ่นจะเป็น Softbank นะคะ (โทรศัพท์จะจับสัญญาณของ Softbank ให้โดยอัตโนมัติค่ะ) ส่วนที่สิงคโปร์จะเป็น Singtel ค่ะ
ปัญหาที่พบ
หากเที่ยวอยู่ ยังไม่ครบ 8 วัน แต่เน็ตหมด 3GB แล้วทำยังไง?
- ซื้อแพ็คเกจเสริมค่ะ 349 บาท เติมเงินผ่านแอป AIS eService (ตัดบัตรเครดิต) และกดซื้อแพ็คเกจเสริมในแอปได้เลยค่ะ การเข้าใช้งานแอปนี้ต้องล็อกอินผ่านรหัส OTP ที่จะได้รับทาง SMS ด้วยนะคะ
หากเที่ยวเกิน 8 วันทำยังไง?
- ซื้อแพ็คเกจเสริมอีก 349 บาทเช่นกันค่ะ แต่ต้องลองคำนวณดูนะคะว่าคุ้มค่าหรือเปล่า หากเที่ยวแค่ 9 วัน อาจต้องลองชั่งใจดูว่าวันแรกหรือวันสุดท้ายจะไม่มีเน็ตใช้ อาจจะคุ้มกว่านะคะ
ช็อปที่สนามบิน ซิม 399 หมดทำอย่างไรดี?
- เพราะว่าซิม 399 เป็นแพ็คเกจยอดฮิต ตอนเราไปซื้อที่ดอนเมืองซิม 399 ก็หมดเหมือนกันค่ะ ที่ช็อปแนะนำว่า จะซื้อเป็นซิมรุ่น 50 บาทให้ แล้วเติมเงิน 350 เพื่อกดสมัครแพ็คเกจเสริม 349 ซึ่งเป็นแพ็คเกจเดียวกับรุ่นซิม 399 ค่ะ -> ผลลัพธ์คือใช้งานได้เหมือนกันนะคะ
อยากรับสายเบอร์เดิมด้วยทำยังไง?
- ก่อนออกจากเมืองไทย ตั้งค่า Call Divert จากซิมเบอร์ปกติที่ใช้ที่ไทย เข้าเบอร์ Sim2Fly เลยค่ะ เราจะเสียเงินค่า Divert เท่ากับค่าโทรออกในแพ็คเกจปกติที่เราใช้อยู่ค่ะ (และเสียค่ารับสายบน Sim2Fly แยกต่างหากนะคะ)
โทรเข้าหรือรับสาย เสียค่าบริการอย่างไร?
- แล้วแต่ประเทศที่ไปค่ะ อย่างญี่ปุ่น กดโทรกลับไทยอยู่ที่นาทีละ 6 บาท รับสายก็ 6 บาทเช่นกันค่ะ (ส่วนรับ SMS นั้น ปกติไม่เสียเงินอยู่แล้วค่ะ แม้จะไม่ใช่ Sim2Fly ก็ตาม)
- หากมีแนวโน้มว่าจะโทรออกหรือต้องรับสายจากไทยแล้วล่ะก็ เติมเงินไปเผื่อได้เลยค่ะ
เก็บซิมไว้ใช้ทริปต่อไปได้หรือไม่?
- ได้แน่นอนค่ะ แบบเราเนี่ยแหละ 555 แต่ต้องระวังวันหมดอายุนะคะ เติมเงินใส่ไว้ก่อนก็ได้เพื่อให้ได้วันการใช้งานซิมมาค่ะ แล้วพอเราจะเดินทางค่อยกดสมัครแพ็คเกจ 349
- สามารถเช็ควันหมดอายุซิมได้จากแอป AIS eService ค่ะ
ถ้าซิมใช้ไม่ได้จ้ะทำยังไง?
- อย่างที่บอกไปในข้อ 6 ข้างบนเลย ถ้าเป็น iPhone ให้ลบ Profile ที่เคยติดตั้งไว้ทั้งหมด (เข้าไปที่ Settings > General > Profile) ถ้าเป็น Android ก็ให้ลบ APN ที่เคยลงไว้ทั้งหมดเหมือนกันค่ะ ตรงนี้จะเป็นการเคลียร์การตั้งค่าที่เคยทำมาอดีตค่ะ ถ้าลบแล้วยังไม่ได้ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อ -__-
- วิธีการลบใน iPhone ก็ตามรูปข้างต้นเลยค่ะ ถ้าใครทราบ Profile ในตัวอย่างของเราคือ Crashlytics ซึ่งไม่เกี่ยวกับการตั้งค่าอินเตอร์เน็ตใดๆ ค่ะ แต่ถ้าใครไม่แน่ใจว่า Profile ที่มีติดตั้งในเครื่องของเราคืออะไรบ้าง ก็ลบไปให้หมดเลยค่ะ กลับไทยมา ถ้ามันจำเป็นต้องใช้ เดี๋ยวก็สามารถดาวน์โหลดใหม่ได้เองค่ะ
- Profile หรือ APN ส่วนมากที่เครื่องเราติดตั้งไว้ มักจะเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต เช่น เคยใช้ซิมญี่ปุ่น เวลาใช้ซิมญี่ปุ่น ก็จะมีให้ดาวน์โหลดหรือติดตั้ง APN เพื่อให้ใช้งานเน็ตได้ หรืออย่างเช่น การเชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติของเครือข่ายที่เราใช้งานอยู่พวก dtac AIS บางทีก็จะมีให้ติดตั้ง Profile หรือ APN เช่นกันค่ะ ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อการตั้งค่าเน็ตของ Sim2Fly แน่นอน ให้ลบออกไปก่อนเล้ยยย
สรุป – ตอนนี้ Sim2Fly เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจมากเลยค่ะ หากไปทริปไม่เกิน 8 วันสำหรับเรา
ออปชั่น 3 – ซื้อซิมของเครือข่ายโทรศัพท์ท้องถิ่นนั้นๆ
สองปีที่ผ่านมา เราไปญี่ปุ่นมา 6 รอบ โดย 5 รอบแรกนั้นซื้อซิมใหม่ที่ญี่ปุ่นทุกรอบ 555 มีแค่รอบสุดท้ายที่ทดลองใช้ AIS Sim2Fly แล้วติดใจค่ะ
ญี่ปุ่น
เราไม่ค่อยชอบการใช้ Pocket Wifi เท่าไหร่เพราะต้องพกเครื่องเพิ่ม แล้วยังต้องคอยชาร์จแบตเพิ่มอีก เราเลยมักจะซื้อซิมใหม่ไปเลยค่ะ หนึ่งซิมหนึ่งคนไปเลย จะได้สะดวกในการแยกกันเดินด้วย จริงๆ แล้วซิมญี่ปุ่นเราเคยใช้แบบที่ซื้อจากไทยไป เช่น Samurai และ อื่นๆ แต่ซิมพวกนั้น มักจำกัดปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตต่อวันอยู่ที่ 200MB ซึ่งสำหรับเรามันไม่พอค่ะ เราเลยเลือกที่จะไปซื้อแพ็คเกจซิมที่สนามบินในญี่ปุ่นแทน โดยยี่ห้อที่เราใช้เป็นประจำคือยี่ห้อ Wi-Ho ค่ะ สามารถซื้อได้ที่บูธขายซิม/เช่าพ็อคเก็ต Wi-Fi ที่สนามบินได้เลย (มีทั้งฮาเนดะ นาริตะ คันไซ ฯลฯ) รายละเอียด https://sim.telecomsquare.co.jp/ และเราเองเคยรีวิวการซื้อซิม Wi-Ho ที่ญี่ปุ่นของเราไว้ในส่วนหนึ่งของโพสต์นี้นะคะ http://katoonix.com/2016/05/23/review-fukuoka-nagasaki-1/
แพ็คเกจปัจจุบัน (ณ 24/11/2016) ของ Wi-Ho จะมีแบ่งเป็น 2 แพ็คเกจคือ
- 1.5GB ใช้ได้ 7 วัน ราคา 1,500 เยน
- 3GB ใช้ได้ 30 วัน ราคา 3,500 เยน
ซึ่งสมมติว่าเราซื้อซิมแพ็คเกจแรก แล้วเราจะใช้เน็ตหมด หรือว่าเราอยู่เกิน 7 วัน ก็สามารถล็อกอินผ่านเว็บของเค้า เพื่อเข้าไปเติมแพ็คเกจผ่านบัตรเครดิตได้ค่ะ โดยราคาอยู่ที่ 1GB 1,980 เยน ทำให้เรามองว่า หากไปเที่ยวเกิน 7 วัน (แหงๆ) ซื้อแพ็ค 3GB 30 วัน 3,500 เยนไปเลยค่ะ คุ้มกว่า
ข้อดี – เหมาะกับคนที่ไปเที่ยวเกิน 7 วัน ใช้งานได้แน่นอน เพราะซื้อซิมเสร็จก็เปลี่ยนซิม ตั้งค่ากันตรงหน้าร้านนั่นแหละ (ของ Wi-Ho ต้องดาวน์โหลด Profile การตั้งค่าของเค้ามาด้วยนะคะ รายละเอียดมีในใบแนบตอนซื้อซิมเรียบร้อยค่ะ ทำไม่ยาก) ไม่ต้องนอยด์เหมือน Sim2Fly ว่าเราจะแจ็คพ็อตใช้ไม่ได้เหมือนเพื่อนๆ ในพันทิปหรือไม่ (สำหรับคนที่ใช้ Sim2Fly ไม่ได้แล้วตั้งกระทู้ในพันทิปนี่เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมเค้าใช้ไม่ได้ค่ะ อาจอยู่ที่การตั้งค่า Profile ที่ถูกเซ็ตไว้ก่อนใช้ Sim2Fly หรืออาจไม่ได้ลงทะเบียนตัวตนก็ได้นะคะ)
ข้อเสีย – ราคาสูงกว่า Sim2Fly แต่ได้ระยะการใช้งานที่ยาวกว่า และใช้ได้แต่อินเตอร์เน็ตค่ะ โทรเข้าออกไม่ได้ (หากเป็นซิมที่มีเน็ต+โทรเข้าออกได้ ราคาแพงกว่านี้อีกม๊ากกกกก)
สิงคโปร์
ล่าสุดเพิ่งไปสิงคโปร์มาค่ะ เจอแพ็คเกจซิมยั่วยวนอยู่ที่ชั้น Arrival เลย เป็นของยี่ห้อ M1 (เดิมทีเราไม่รู้จัก เคยรู้จักแต่ Starhub กับ Singtel) แต่ๆๆๆ ค่ะ แพ็คเกจมันคือ 1GB $30 (750 บาท) แถมฟรี 100GB ใช้ได้ 7 วัน เอออออะ แถมเยอะไปมั้ยคะพี่ ดูรายละเอียดในเว็บไซต์
ไม่รอช้าค่ะ พุ่งตัวไปซื้อทันที (ซื้อให้เพื่อนค่ะ เนื่องจากเพื่อนยังไม่มีซิม อิ_อิ จะได้ไม่ต้องแชร์ HotSpot ไงเนอะ เผื่อแยกกันเดินด้วย)
ซึ่งในตัว $30 นี้ มียอดเงินให้โทรกลับประเทศได้ด้วย 15 เหรียญค่ะ อัตราค่าโทรเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน เรามีเหตุจำเป็นต้องโทรกลับไทย ก็โทรได้เกิน 10 นาทีอยู่เหมือนกันค่ะ
จริงๆ แล้วแพ็คเกจ $30 นี้เป็น Tourist Sim แต่แอบดูในเว็บไซต์นาง Prepaid Data Sim 1GB ราคาแค่ $18 เองค่ะ แต่คิดว่าบูธที่สนามบินอาจจะไม่มีขาย – -*
หวังว่าบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังหาข้อมูลก่อนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศนะคะ ลองพิจารณาดูว่าแบบไหนเหมาะกับระยะเวลา และลักษณะการใช้งานของเราค่ะ ตอนนี้อะไรต่างๆ ก็ค่อนข้างง่ายค่ะ หากซื้อซิมไม่ทัน หรือซื้อไปแล้วใช้ไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ไปซื้อใหม่ที่สนามบินปลายทางได้เลยค่ะ อาจแพงหน่อยแต่ชัวร์กว่าค่ะ ยังไงก็ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัยและเที่ยวให้สนุกนะคะ 🙂