Monthly Archives: April 2011

หุงข้าวด้วยไมโครเวฟ

วันนี้ไม่มีภาพประกอบนะคะ แค่เอาสิ่งที่เคยทวีตไว้มาลงบล็อค จะได้หาง่ายๆ 🙂

หลายๆ คน คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราสามารถหุงข้าวได้ง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟค่ะ

อุปกรณ์ที่ใช้ แค่ ชาม 1 ใบ และ จาน 2 ใบ ค่ะ

วิธีหุงข้าวด้วยไมโครเวฟ

(1) นำข้าวสารใส่ชาม ประมาณ 1/3 ของชาม แล้วซาวข้าวตามสะดวก ถ้าข้าวใหม่ๆ ก็ซาวรอบเดียวพอค่ะจะได้ไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหารมาก แต่ถ้าข้าวเก่าเก็บหน่อย ก็ซาวสองสามรอบ ให้มด มอด ฝุ่นผง ออกไปให้หมด (ป.ล. ซาวข้าว = ล้างข้าว)

(2) ใส่น้ำลงไปให้สูงประมาณ 2/3 ของชาม หรือจริงๆ แล้ว เราใช้หลักจินตนาการเอาว่า ถ้าข้าวสารสุกแล้ว มันจะพองสูงขึ้นมาประมาณเท่าไหนของชาม ก็ให้ใส่น้ำสูงเท่านั้นค่ะ (อันนี้อาจต้องใช้ประสบการณ์หน่อย แต่คร่าวๆ ก็ประมาณ 2/3 ของชามนะ)

(3) วางชามบนจาน แล้วปิดฝาชามด้วยจานอีกใบ โดยให้จานใบล่างกว้างกว่าจานใบบน เพื่อรองรับน้ำเดือดไหลออกจากชามค่ะ (งงไหม? ดูภาพประกอบนะ)

(4) นำเข้าไมโครเวฟ ความร้อนสูง 15 นาที

(5) นำออกมา จะเห็นว่าข้าวยังไม่สุกดี ข้างล่างจะเปียกๆ ข้างบนจะแห้งๆ ให้เราเอาช้อนกวนๆ คลุกข้าวให้เข้ากันทั้งชาม นำเข้าเวฟอีกรอบ ประมาณ 5-10 นาที

(6) เอาข้าวออกจากเวฟ ก็จะได้ข้าวพร้อมทานค่า 😀

หมายเหตุ* เวลาจะขึ้นอยู่กับความร้อนของไมโครเวฟแต่ละบ้านด้วยนะค้า แล้วก็ถ้าขี้เกียจหน่อย ก็เข้าเวฟไปเลยทีเดียว 20 นาทีก็ได้ พอนำออกมาข้าวมันจะสุกหมดแล้วแหละ แต่ข้างล่างจะแฉะๆ หน่อย ก็กวนๆ ข้าว แล้วทิ้งไว้ซักพัก (ไม่ต้องเข้าเวฟใหม่) ด้วยความร้อนตกค้าง ข้าวมันก็จะสวยงามพอดีกันเหมือนกันค่ะ

ถ้าคุณหุงแล้ว..

ข้าวแฉะ >> ให้กวนๆข้าว แล้วเข้าเวฟต่ออีกประมาณ 5 นาที ข้าวจะแห้งขึ้นค่ะ

ข้าวแห้งแข็ง >> ใส่น้ำเพิ่มนิดหน่อย แล้วกวนๆ น้ำกับข้าวให้เข้ากัน แล้วเข้าเวฟต่ออีกประมาณ 5 นาที ข้าวจะนุ่มขึ้นค่ะ

ถ้ากินข้าวไม่หมด >> ใส่ภาชนะที่มีฝาปิด (หรือใช้จานชามอันเดิมก็ได้) แล้วแช่ตู้เย็นไว้ พอจะเอาออกมาอุ่น ก็ใส่น้ำลงไปนิดหน่อย คลุกๆ ข้าวกับน้ำให้เข้ากัน แล้วเข้าเวฟประมาณ 5-10 นาที ค่ะ เหตุผลที่ต้องใส่น้ำ ก็เพราะข้าวที่ทิ้งไว้มันจะแข็ง น้ำระเหยออกจากข้าวไปหมด เราจึงต้องเติมน้ำกลับเข้าไปในข้าวโดยใช้ความร้อนช่วยค่ะ

คราวหน้าจะลงพวกวิธีการทำอาหารกินเองง่ายๆ แบบเร็วๆ นะคะ ^^

แต่งงาน*

ระหว่าง…

ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ทุกอย่างมันใช่ไปหมดในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และมุมมองในชีวิต เข้าใจเสียไปหมด สังคมเดียวกัน ทำอะไรด้วยกันได้เกือบทุกอย่าง

กับ

มีความชอบที่เหมือนกันบ้าง สังคมคนละกลุ่ม แต่ก็เข้ากันได้อยู่ เป้าหมายมุมมองในชีวิตก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น แต่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้แบบสบายๆ เรื่อยๆ

คุณว่าคู่ไหนได้แต่งงานกัน?

นี่ยกมาแค่สองประเภทนะ ^^ คนจะแต่งงานกันมันไม่ต้องเข้าแพทเทิร์นนี้ตลอดไปใช่ไหม? มันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัวว่า คนจะแต่งงานกันต้องรู้สึกอย่างไร ต้องมีเหตุผลอะไร

อาจเพราะก่อนหน้านี้ ได้อ่านทวีตของพี่แอ้ม @amp_cuband เรื่องความเหมาะสมของการคบกัน (link: http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150146857082274 ) พี่แอ้มได้พูดถึงวงกลมที่ intersect กัน ว่าถ้ามีความชอบเหมือนกัน เราก็จะมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันมาก มีช่วงเวลาที่มีความสุขร่วมกันมาก อันนี้ก็เห็นด้วยนะคะ คู่นี้ก็จะมีความสุขในเวลาของสองเราเยอะหน่อย

นอกจากนี้ยังได้อ่านธรรมะเลือกคู่ของพี่เอ @worawisut (link: http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150112664664576 ) ว่าด้วยเรื่อง ศีล-จาคะ-ปัญญา-ศรัทธา ซึ่งกล่าวโดยรวมก็คือคู่รักต้องมี attitude ในเกือบทุกๆ เรื่องตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความเชื่อ ความเข้าใจในความเป็นไปต่างๆ

เราเคยคบกับคนรุ่นเดียวกันนะ เพราะฉะนั้นไลฟ์สไตล์ต่างๆ แทบจะไปด้วยกันหมดทุกเรื่องเลย คุยเรื่องอะไรก็เข้าใจ เป็นสังคมเดียวกัน เที่ยวเหมือนๆ กัน ความชอบใกล้เคียงกันมากมาย สามารถใช้เวลาด้วยกันเยอะมาก ชีวิตแทบจะมีแต่สองเราไปเลย เพราะวงกลมสองวงแทบจะเป็นวงเดียวกัน

แต่นั่น ทำให้ทุกสิ่งอย่างมันมากไป

พอห่างกัน วงกลมสองวงที่เคยหลอกตัวเองว่าเป็นวงเดียวกันมาตลอด ก็เริ่มมีเส้นขอบมีเขตของตัวเองชัดเจนขึ้น ได้ค้นพบโลกของตัวเอง และนั่นก็ทำให้ไปกันไม่ได้ (แต่ก็มีเหตุผลอื่นๆประกอบด้วย)

ในขณะที่ พ่อกับแม่เรา จัดอยู่ในประเภทที่สองนะ เค้าไม่ใช่คู่ที่รักกันหวานชื่นเวอร์ๆ เค้ามีความต่างกันในสังคมทำงาน คนละกลุ่มเลย

.. แม่สามารถไปเข้าสังคมของพ่อได้ แต่พ่อจะไม่มาเฮฮาปาร์ตี้กับสังคมเพื่อนแม่เท่าไหร่
.. ความชอบส่วนตัวของพ่อกับแม่ก็ดูจะคนละเรื่องเลยนะ พ่อมาเล่นกอล์ฟตอนเริ่มแก่ ตอนแรกแม่ก็เซ็ง อะไรของป๊า ดูแต่กอล์ฟ เล่นแต่กอล์ฟ แต่ตอนนี้กลายเป็นเธอชอบดูกอล์ฟไปแล้ว ถ้ามี LPGA Tour เธอก็จะต้องให้พ่อหาบัตรมาให้
.. พ่อไม่ค่อยโรแมนติกหวานชื่นอะไร ตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว จนปัจจุบัน อย่างไรก็อย่างนั้น แต่แม่เราเป็นคนขี้อ้อนกับพ่อ
..  พ่อ ค่อนข้างประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จัดว่าภาระหน้าที่ก็หนักอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ แต่แม่ กลับพอใจในระดับ C7 ในโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน
.. ความสำเร็จของพ่อ คืออะไร ไม่มีใครรู้ เพราะพ่อไม่ค่อยแชร์เรื่องแบบนี้ พ่อทำงาน โดยเคยไม่ได้มองความฝันอะไร พ่อมองแต่ Realistic ทำเพื่อเลี้ยงชีพ ถูกสังคมบีบให้ไต่เต้าเติบโต(พ่อจึงใส่ความ Perfectionist มาที่ลูก พยายามให้พวกเราเดินในทางสายเลิศๆ ซึ่งอีลูกสองคนก็เป็นเด็กขี้เกียจเหลือเกิน – -“) ส่วนความสำเร็จของแม่หรอ.. เห็นนักเรียนเรียนจบ เห็นนักเรียนมีความสุขและรักในภาษาอังกฤษที่แม่สอนก็พอ 🙂

ได้คุยกับแม่ เลยทำให้รู้ว่า เราเองได้กลายเป็นมีมุมมองของชีวิตคู่เหมือนคู่พ่อแม่ได้ยังไงก็ไม่รู้

เราเอง กลับรู้สึกว่า ถ้า ณ ขณะที่เธอทำสิ่งที่เธอชอบ ฉันก็สามารถทำสิ่งที่ฉันชอบได้ แต่เราก็ต้องมีเวลาที่ใช้ร่วมกันอยู่นะ

แต่แม่ก็บอกอีกว่า เพื่อนแม่บางคู่ ก็รู้สึกว่า คนนี้แหละใช่เลย ตั้งแต่แรก รักหวานชื่น ตั้งแต่แรก จนปัจจุบันแต่งงานอยู่กินกันมาเป็นสิบๆ ปี

ในขณะที่ของแม่ แม่ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นกับพ่อนะ แต่แค่ รับข้อเสียของเค้าได้ และเค้าเป็นคนน่ารักกับแม่ เสมอต้นเสมอปลายในช่วงที่คบกัน และเป็นคนตลกดี

แม่บอกว่า ก็เหมือนเสี่ยงดวงแหละ เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าหลังจากนี้เค้าจะเป็นยังไง นิสัยแย่ๆ มันอาจมาเผยเพิ่มเติมอีกทีหลังก็ได้ (แต่โชคดีที่พ่อกับแม่เป็นคนตรงๆตั้งแต่แรก) เรื่องการงานเห็นเหมือนขยัน แต่แต่งงานไปอาจจะเฟลก็ได้ อันนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ แต่แม่ก็โชคดีที่พ่อออกมาเป็นแบบนี้

แม่ยังยกตัวอย่าง คู่ที่เป็นสังคมเดียวกัน ความชอบเหมือนกัน อยู่ในวงเดียวกัน เข้าใจกันทุกอย่าง แต่มันก็จะวนกันอยู่แค่นั้น ในขณะที่พ่อกับแม่เรา คนละสังคม ช่วงที่แม่มีปัญหากับระบบราชการ พ่อก็จะไม่เข้าใจว่าแม่จะอะไรนักหนา เพราะฉะนั้นรูปแบบทั้งสองอย่างนี้มันก็มีข้อดีและข้อเสียแหละ

บางที คุณอาจต้องการคนรักที่เหมือนกับคุณไปเสียเกือบทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายนึงอาจอึดอัดใจก็ได้

บางที คุณอาจจะนึกถึงเหตุผลต่างๆ นานา ในการคบกันมากเกินไปก็ได้ ทั้งเรื่องความเหมาะสม เพื่อน สังคมทั้งหลายทั้งปวง ปล่อยวางเหตุผล แล้วลองใช้ใจมองดูบ้าง ว่าคุณอยากจะใช้เวลาที่เหลือกับคนคนนี้ไหม

แต่ว่า บางทีนะบางที อาจเพราะสังคมเปลี่ยนไป คนเราเปิดเผยตัวตนกันมากขึ้น สามารถศึกษากันได้ง่ายขึ้น และคนเรามีโอกาสเจอคนใหม่ๆ ได้มากขึ้น จนทำให้คนเรา “เลือกมาก” หรือ “เรื่องมาก” กว่าสมัยแม่เราเย้อออะก็ได้มั้ง

สุดท้ายของสุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเท่าไหร่

รอเราแต่งงานก่อนนะ จะมาสรุปให้ 😛