Monthly Archives: August 2013

เมื่อฉันเป็นนักเรียนอังกฤษ 5%

คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่อังกฤษประมาณ 60 สัปดาห์

ตอนนี้ผ่านไป 3 สัปดาห์ เท่ากับ 5%

เฮ้ยชีวิตมี progress นะเนี่ย… รู้สึกดีใจ

….

มีแต่คนบอกว่า เดี๋ยวอยู่ๆ ไปขี้คร้านจะไม่อยากกลับไทย

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นมั้ง

แต่กว่าจะทำใจปรับตัวปรับใจให้ยอมรับกับการอยู่อังกฤษได้อย่างสบายใจ คงใช้เวลามากกว่า 1 ปี

ขนาดย้ายมาอยู่กรุงเทพแรกๆ ยังไม่รู้สึกโอเคกับบ้านกับช่องเลย กว่าจะ settle down ได้

ใช้เวลากว่า 2 ปี ถึงจะรู้สึกว่า บ้านคือสถานที่ของเรา

….

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออยู่มา 3 สัปดาห์ คือ

1. คนอังกฤษข้ามถนนไม่รอสัญญาณไฟเขียว

2. คนลอนดอน stand on the right แต่คนทีลีดส์ไม่ใช่

3. [-] ลีดส์เป็นเมืองไม่น่าอยู่ และไม่มีอะไรสวยงาม

4. ใบกะเพราที่ลีดส์หาง่ายกว่าที่ลอนดอน 555555555555

….

เรากำลังมีความรู้สึกเป็นลบกับเมืองลีดส์มากมาย

อยากจะเขียนร่ายลงมาในนี้ แต่เราคิดว่า แค่ 3 สัปดาห์ เราคงอาจจะยังไม่รู้จักลีดส์ดีพอ

เราจะเขียนเรื่องความรู้สึกของเราต่อเมืองนี้ เมื่อเรารู้จักมันดีกว่านี้นะ

ชีวิตการเรียนตอนนี้ก็จัดว่าแย่นะ รู้สึกไม่ได้อะไรนอกจากความกดดันของการทำงานให้ทันเวลา

แต่เราไม่ได้เทคนิคการเขียน ไม่ได้เรียนรู้การวางโครงสร้าง ฯลฯ

เหมือนให้สอบเลย ทำงานส่งเลย เพื่อให้เรียนรู้

ถ้าตอนเรียนโท เป็นยังงั้นคงจะทำใจได้

แต่เรารู้สึกว่า เรามาเรียนพรี เพื่อให้ได้อะไรกลับไปเป็นความรู้บ้าง

ไม่ใช่ความรู้สึกกดดันตอนทำงาน ฉันไม่อยากได้

คือไอ้งานที่ให้มา ฉันทำตอนนี้ หรือทำเมื่อสามเดือนที่แล้ว ฉันก็ทำได้เท่านี้แหละ

ฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรจากเธอเลย ฉันไม่รู้สึกว่าฉันถูกพัฒนา

คือบางทีก็คิดว่า เราคิดแบบเด็กไทยมากเกินไปปะวะ รอเค้ามาป้อนๆ

แต่คือ เราไม่ได้รอเค้ามาป้อนนะ คือเราอยากทำงานส่ง ได้ฟีดแบค ทำงาน ได้ฟีดแบค แบบนี้

ไม่ใช่ส่งครั้งเดียวจบ เฮ้ย คือมันไม่ใช่อะ ถามหน่อยฉันได้อะไร?

.

.

รู้สึกโง่น่ะ

การเดินทาง

ความทุลักทุเลของขั้นตอนก่อนจะมาเรียนนั้น หนักหนาอยู่เหมือนกัน

ทีแรกก็ว่าจะเล่าให้ฟังกันอยู่ แต่ติดไว้ก่อน (ติดไว้แบบนี้ ท่าทางจะเขียนออกยากแฮะ)

ตอนนี้ เรามาเล่าชีวิตต่างแดนให้ฟังกันดีกว่า

ขณะนี้ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่ University of Leeds กำลังอยู่ในช่วงเรียนภาษา

ที่จริงแล้ว เราได้รับ Unconditional Offer จาก Leeds University Business School

แต่ด้วยความไม่มั่นใจ บวกกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง น้อยมาก

เลยตัดสินใจสมัครเรียน Pre-sessional English เพิ่ม 6 สัปดาห์

ซึ่งเรารู้สึกโอเคที่ตัดสินใจแบบนั้นไป (ถึงแม้นั่นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหลักแสนบาท)

เพื่อที่ตัวเราจะได้มีเวลาปรับตัวเองก่อนที่จะเข้าช่วงเรียนปริญญาโท

การเดินทาง

นี่คือ Leeds

นี่คือ Leeds อยู่ใน West Yorkshire

สนามบินที่สะดวกต่อการเดินทางมาเมืองลีดส์มี 2 สนามบิน คือ Manchester Airport และ Leeds Bradford International Airport (LBA)

สายการบินที่บินจาก Heathrow (London) มาที่ LBA มีเพียง British Airways เท่านั้น นอกนั้นบินมาจากสนามบินอื่นๆ และประเทศอื่นๆ หมด

ด้วยตารางเวลาของ British Airways นั้น ทำให้ต้องไป transit อยู่ที่ลอนดอนถึง 6 ชั่วโมงด้วยกัน

เราจึงตัดสินใจบินกับ Etihad Airways (ราคาตั๋วนักเรียนถูกม๊ากก) เปลี่ยนเครื่องที่ Abu Dhabi ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ แล้วมาลงที่ Manchester Airport จากนั้นก็นั่งรถไฟมายังสถานีลีดส์ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งบนรถไฟ

น้ำหนักกระเป๋าใบใหญ่ของเราหนัก 30.9kg (เค้าให้ 30kg) ไม่มีปัญหา ส่วนกระเป๋าแครี่ออนหนัก 12kg ซึ่งเค้าให้แค่ 7kg =____= ตอนเช็คอินอุตส่าห์ไม่ลากแครี่ออนไปด้วย ลากไปแต่ใบใหญ่ พี่ที่เคาเตอร์ถามว่า “น้องมีกระเป๋าลากขึ้นเครื่องมั้ยคะ” “อ๋อมีค่ะ” “พี่ขอชั่งหน่อยได้มั้ยคะ” ก็เลยต้องลากมาชั่งให้นางดู แล้วมันก็เกินมากมาย พี่เค้าบอกว่า ถ้าแค่ 8 โลพี่ยังพออนุโลมได้ แต่นี่ตั้ง 12 เลยนะ เราก็เลยบอกว่า พี่คะช่วยหน่อยได้มั้ย หนูไปเรียน เนี่ยอุตส่าห์เอาหนังสือเอาของหนักๆ จากใบใหญ่มาใส่ในนี้แล้ว ใบใหญ่จะได้น้ำหนักไม่เกิน พี่เค้าก็โทรไปหาหัวหน้าสายเค้ามั้ง สรุปว่าพี่เค้าให้ แล้วก็บอกว่า ถ้าโดนตรวจที่นู่น อย่าบอกว่าที่กรุงเทพช่วยละกัน เราก็ขอบคุณพี่เค้ามากๆ แล้วลงท้ายด้วยการลากกระเป๋า12kgขึ้นเครื่อง กระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป๋าสะพาย(ประกอบไปด้วยกระเป๋าตัง เงิน เช็ค เอกสารต่างๆ รวมหนักประมาณ 5kg) T^T ขั้นตอนที่แย่ที่สุดคือ การยกกระเป๋า 12kg ขึ้นคอมพาร์ตเมนท์เนี่ยแหละ ได้ยินเสียงกระดูกสันหลังร้าวเลยทีเดียว (เวอร์)

BKK-AUH การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น แม้กระทั่งการทรานสิตที่อาบูดาบี ก็ไม่มีปัญหาอันใด อาจจะโชคดีที่มีพี่คนไทย(พี่ปุ๊ก)ที่เรียนที่เดียวกันเดินทางไปไฟลท์เดียวกัน เราจึงช่วยกันดูกระเป๋าเวลาเข้าห้องน้ำ พอบอร์ดดิ้ง AUH-MAN ก็ต้องยกกระเป๋าขึ้นคอมพาร์ตเมนท์อีกรอบ น้ำตาจะไหล

เมื่อมาถึงสนามบินแมนเชสเตอร์ ตอน 7:30 ตามเวลา ผ่าน ตม. อย่างรวดเร็ว แล้วไปเอากระเป๋าเรียบร้อย ถัดมาคือ ต้องมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ สัญชาติญาณเจ้าถิ่นก็ทำงานเล็กน้อย พี่เค้าไม่เคยมาอังกฤษเลย แต่เราเคยมาแล้วสองครั้ง ก็เดินตามป้ายไปด้วยความไม่ตื่นกลัว จนมาถึงสถานี สมัครบัตร 16-25 railcard คือบัตรลดราคารถไฟของนักเรียน หรือของคนที่อายุต่ำกว่า 25 ตัวเรายังอายุไม่ถึง 25 เต็มก็สมัครได้เลย แต่ถ้าอายุเกินแล้วต้องมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัยก่อนค่ะ ส่วนตั๋วรถไฟนั้นเราซื้อมาล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไทยแล้ว ก็เลยได้ในราคาถูกมากๆ 🙂 5 ปอนด์กว่าๆ เท่านั้น ด้วยความที่ต่างคนต่างจองตั๋วรถไฟมากับพี่ปุ๊ก (บังเอิญจองไฟลท์เดียวกัน และซื้อตั๋วรถไฟไว้รอบเดียวกัน คือ 9:35) ก็เลยจองที่นั่งไปคนละโบกี้กัน

การแบกกระเป๋าหนัก 31kg และ 12kg รวมถึงกระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป่าสะพายส่วนตัวอีก 5kg ไม่ใช่เรื่องง่าย – -” หนักสุดๆ แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี ทุลักทุเลเล็กน้อยทั้งตอนขึ้นและลง ที่สถานีลีดส์ต่างคนต่างแบกของตัวเองลงมาจากรถไฟได้ก็มองหน้ากันแบบว่า เฮ่อ..

พอออกมาจากสถานี ไปยัง taxi stand ฝนก็กระหน่ำตกลงมา – -” รอคิวจนได้รถคันใหญ่ ก็นั่งแท็กซี่แชร์ไปหอ(บังเอิญอยู่หอเดียวกันอีก)

ถึงหน้าหอ เข้าหอไม่ได้ ไม่มีคีย์การ์ด ฝนก็ตก ก็รอจนมีคนเข้าออกหอ เราก็เนียนเข้าไปด้วย ข้างในมีโซฟา แต่รีเซปชั่นปิด! โชคดีที่มีน้องที่มาถึงก่อน ให้เบอร์รีเซปชั่นไว้ แต่โทรศัพท์ของเราทั้งคู่ก็โทรไม่ได้ เราเลยออกมาด้านนอก รอดักคนที่เดินผ่านไปมา ขอยืมโทรศัพท์เค้าโทรหารีเซปชั่น พอคุยเรียบร้อยเค้าบอกว่า I’ll be there in 2 minutes. เราก็ขอบคุณฝรั่งผู้ให้ยืมโทรศัพท์ไปอย่างมากมาย แล้วก็ให้พี่ปุ๊กที่รออยู่ด้านใน กดเปิดประตูให้ (ทำงานเป็นทีม)

เมื่อรีเซปชั่นมา ก็ได้กุญแจ แบกข้าวของขึ้นห้อง

อธิบายให้ฟัง ห้องที่เราอยู่จะเรียกว่าแฟลต(flat) โดยแฟลตนึงจะแบ่งเป็นห้องครัว และห้องนอน 5 ห้อง โดยมีห้องน้ำในตัวอยู่ในห้องนอน

เก็บของเสร็จ เราก็ชวนพี่ปุ๊กออกมาซื้อของเลยทันที รีบตั้งตัวมาก ไม่พักผ่อนกันเลยทีเดียว – -” สงสารพี่ปุ๊กสุดๆ

จนวันนี้ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว และเพิ่งเริ่มเรียนไปได้ 2 วัน เราก็ยังโอเคกับชีวิตที่นี่นะ

อาจจะเพราะอยู่ไทย ปกติก็อยู่บ้านตัวคนเดียวอยู่แล้ว เลยไม่ได้อะไรมากมาย แค่เปลี่ยนที่ และเปลี่ยนกลุ่มผู้คนที่พบเจอ เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนที่จะนัดไปกินข้าวด้วยกัน อะไรแบบนั้น

ใช้เงินไปเยอะมาก มาก มาก โดยเฉพาะการซื้อของเข้าห้อง เช่น พัดลม กระทะ เหยือกน้ำ น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ ผ้าห่ม หมอน ฯลฯ

ปัญหาอย่างนึงของเราตอนนี้ที่รู้สึกคือ เหมือนเป็นอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกกับเด็กไทยที่นี่ – -”

เราชอบเดินคนเดียว ไปซื้อของในเมืองคนเดียว กินข้าวคนเดียว

พอบังเอิญเจอเด็กไทยในเมืองก็จะโดนถาม “มาคนเดียวเหรอ” อะไรงี้ ฮือ

แล้วเค้าก็ชวนเราไปกินข้าวด้วยทุกวันเลย แต่นี่ก็ไม่เคยจะไปกับเค้าเลย

เมื่อวานมีเหตุให้ต้องไปห้องพี่ปุ๊ก (คือลืมกุญแจห้องตัวเอง) พอเข้าไปก็พบว่า เด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังนั่งคุยกันในห้องครัว ทำอาหารแชร์กันเพื่อเป็นข้าวกล่องวันพรุ่งนี้ อะไรแบบนี้

ถ้าหมดช่วงซัมเมอร์(ช่วงเรียนภาษา)เราต้องย้ายห้อง(แต่อยู่หอเดิม) ซึ่งแฟลตที่ย้ายเข้าไป คนไทยล้วนเลยจ้า เราก็ยังไม่รู้ว่า ต่อไปเราจะเป็นยังไง จะทำตัวถูกมั้ย จะต้องรอแชร์ข้าวกับเค้าทุกมื้อมั้ย ถ้าเราทำกินเองคนเดียวจะแปลกมั้ย หรืออะไร ฮือ

ส่วนนึงก็กังวลเรื่องภาษาว่าอยู่แต่คนไทย ก็จะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษหรือเปล่า ส่วนตัวเราว่าก็คงมีผลนิดนึงแต่ไม่มากมาย เพราะตอนนี้แฟลตเมตเราก็เป็นคนไต้หวันกับจีน แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันอะไรอยู่แล้วเท่าไหร่ ก็คิดซะว่าเหมือนอยู่หอคนเดียวละกัน ภาษาอังกฤษก็ไปใช้กับเพื่อนต่างชาติในห้องเรียนเวลาทำงานต่างๆ แหละ

ก่อนมาก็ไม่ได้กังวลอะไรเลยเกี่ยวกับว่า จะอยู่ได้ไหม กินอยู่ยังไง เพราะเราชินกับการอยู่เองอยู่แล้ว แต่ มีเรื่องกังวลอยู่สองอย่าง คือ เรื่องเพื่อนคนไทย และเรื่องเรียน T^T ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นและก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานอยู่ในกลุ่มที่มีแต่ต่างชาติเหมือนกันนะ _/|\_