ความทุลักทุเลของขั้นตอนก่อนจะมาเรียนนั้น หนักหนาอยู่เหมือนกัน
ทีแรกก็ว่าจะเล่าให้ฟังกันอยู่ แต่ติดไว้ก่อน (ติดไว้แบบนี้ ท่าทางจะเขียนออกยากแฮะ)
ตอนนี้ เรามาเล่าชีวิตต่างแดนให้ฟังกันดีกว่า
ขณะนี้ ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่ University of Leeds กำลังอยู่ในช่วงเรียนภาษา
ที่จริงแล้ว เราได้รับ Unconditional Offer จาก Leeds University Business School
แต่ด้วยความไม่มั่นใจ บวกกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง น้อยมาก
เลยตัดสินใจสมัครเรียน Pre-sessional English เพิ่ม 6 สัปดาห์
ซึ่งเรารู้สึกโอเคที่ตัดสินใจแบบนั้นไป (ถึงแม้นั่นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหลักแสนบาท)
เพื่อที่ตัวเราจะได้มีเวลาปรับตัวเองก่อนที่จะเข้าช่วงเรียนปริญญาโท
การเดินทาง

นี่คือ Leeds อยู่ใน West Yorkshire
สนามบินที่สะดวกต่อการเดินทางมาเมืองลีดส์มี 2 สนามบิน คือ Manchester Airport และ Leeds Bradford International Airport (LBA)
สายการบินที่บินจาก Heathrow (London) มาที่ LBA มีเพียง British Airways เท่านั้น นอกนั้นบินมาจากสนามบินอื่นๆ และประเทศอื่นๆ หมด
ด้วยตารางเวลาของ British Airways นั้น ทำให้ต้องไป transit อยู่ที่ลอนดอนถึง 6 ชั่วโมงด้วยกัน
เราจึงตัดสินใจบินกับ Etihad Airways (ราคาตั๋วนักเรียนถูกม๊ากก) เปลี่ยนเครื่องที่ Abu Dhabi ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ แล้วมาลงที่ Manchester Airport จากนั้นก็นั่งรถไฟมายังสถานีลีดส์ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งบนรถไฟ
น้ำหนักกระเป๋าใบใหญ่ของเราหนัก 30.9kg (เค้าให้ 30kg) ไม่มีปัญหา ส่วนกระเป๋าแครี่ออนหนัก 12kg ซึ่งเค้าให้แค่ 7kg =____= ตอนเช็คอินอุตส่าห์ไม่ลากแครี่ออนไปด้วย ลากไปแต่ใบใหญ่ พี่ที่เคาเตอร์ถามว่า “น้องมีกระเป๋าลากขึ้นเครื่องมั้ยคะ” “อ๋อมีค่ะ” “พี่ขอชั่งหน่อยได้มั้ยคะ” ก็เลยต้องลากมาชั่งให้นางดู แล้วมันก็เกินมากมาย พี่เค้าบอกว่า ถ้าแค่ 8 โลพี่ยังพออนุโลมได้ แต่นี่ตั้ง 12 เลยนะ เราก็เลยบอกว่า พี่คะช่วยหน่อยได้มั้ย หนูไปเรียน เนี่ยอุตส่าห์เอาหนังสือเอาของหนักๆ จากใบใหญ่มาใส่ในนี้แล้ว ใบใหญ่จะได้น้ำหนักไม่เกิน พี่เค้าก็โทรไปหาหัวหน้าสายเค้ามั้ง สรุปว่าพี่เค้าให้ แล้วก็บอกว่า ถ้าโดนตรวจที่นู่น อย่าบอกว่าที่กรุงเทพช่วยละกัน เราก็ขอบคุณพี่เค้ามากๆ แล้วลงท้ายด้วยการลากกระเป๋า12kgขึ้นเครื่อง กระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป๋าสะพาย(ประกอบไปด้วยกระเป๋าตัง เงิน เช็ค เอกสารต่างๆ รวมหนักประมาณ 5kg) T^T ขั้นตอนที่แย่ที่สุดคือ การยกกระเป๋า 12kg ขึ้นคอมพาร์ตเมนท์เนี่ยแหละ ได้ยินเสียงกระดูกสันหลังร้าวเลยทีเดียว (เวอร์)
BKK-AUH การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น แม้กระทั่งการทรานสิตที่อาบูดาบี ก็ไม่มีปัญหาอันใด อาจจะโชคดีที่มีพี่คนไทย(พี่ปุ๊ก)ที่เรียนที่เดียวกันเดินทางไปไฟลท์เดียวกัน เราจึงช่วยกันดูกระเป๋าเวลาเข้าห้องน้ำ พอบอร์ดดิ้ง AUH-MAN ก็ต้องยกกระเป๋าขึ้นคอมพาร์ตเมนท์อีกรอบ น้ำตาจะไหล
เมื่อมาถึงสนามบินแมนเชสเตอร์ ตอน 7:30 ตามเวลา ผ่าน ตม. อย่างรวดเร็ว แล้วไปเอากระเป๋าเรียบร้อย ถัดมาคือ ต้องมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ สัญชาติญาณเจ้าถิ่นก็ทำงานเล็กน้อย พี่เค้าไม่เคยมาอังกฤษเลย แต่เราเคยมาแล้วสองครั้ง ก็เดินตามป้ายไปด้วยความไม่ตื่นกลัว จนมาถึงสถานี สมัครบัตร 16-25 railcard คือบัตรลดราคารถไฟของนักเรียน หรือของคนที่อายุต่ำกว่า 25 ตัวเรายังอายุไม่ถึง 25 เต็มก็สมัครได้เลย แต่ถ้าอายุเกินแล้วต้องมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัยก่อนค่ะ ส่วนตั๋วรถไฟนั้นเราซื้อมาล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไทยแล้ว ก็เลยได้ในราคาถูกมากๆ 🙂 5 ปอนด์กว่าๆ เท่านั้น ด้วยความที่ต่างคนต่างจองตั๋วรถไฟมากับพี่ปุ๊ก (บังเอิญจองไฟลท์เดียวกัน และซื้อตั๋วรถไฟไว้รอบเดียวกัน คือ 9:35) ก็เลยจองที่นั่งไปคนละโบกี้กัน
การแบกกระเป๋าหนัก 31kg และ 12kg รวมถึงกระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป่าสะพายส่วนตัวอีก 5kg ไม่ใช่เรื่องง่าย – -” หนักสุดๆ แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี ทุลักทุเลเล็กน้อยทั้งตอนขึ้นและลง ที่สถานีลีดส์ต่างคนต่างแบกของตัวเองลงมาจากรถไฟได้ก็มองหน้ากันแบบว่า เฮ่อ..
พอออกมาจากสถานี ไปยัง taxi stand ฝนก็กระหน่ำตกลงมา – -” รอคิวจนได้รถคันใหญ่ ก็นั่งแท็กซี่แชร์ไปหอ(บังเอิญอยู่หอเดียวกันอีก)
ถึงหน้าหอ เข้าหอไม่ได้ ไม่มีคีย์การ์ด ฝนก็ตก ก็รอจนมีคนเข้าออกหอ เราก็เนียนเข้าไปด้วย ข้างในมีโซฟา แต่รีเซปชั่นปิด! โชคดีที่มีน้องที่มาถึงก่อน ให้เบอร์รีเซปชั่นไว้ แต่โทรศัพท์ของเราทั้งคู่ก็โทรไม่ได้ เราเลยออกมาด้านนอก รอดักคนที่เดินผ่านไปมา ขอยืมโทรศัพท์เค้าโทรหารีเซปชั่น พอคุยเรียบร้อยเค้าบอกว่า I’ll be there in 2 minutes. เราก็ขอบคุณฝรั่งผู้ให้ยืมโทรศัพท์ไปอย่างมากมาย แล้วก็ให้พี่ปุ๊กที่รออยู่ด้านใน กดเปิดประตูให้ (ทำงานเป็นทีม)
เมื่อรีเซปชั่นมา ก็ได้กุญแจ แบกข้าวของขึ้นห้อง
อธิบายให้ฟัง ห้องที่เราอยู่จะเรียกว่าแฟลต(flat) โดยแฟลตนึงจะแบ่งเป็นห้องครัว และห้องนอน 5 ห้อง โดยมีห้องน้ำในตัวอยู่ในห้องนอน
เก็บของเสร็จ เราก็ชวนพี่ปุ๊กออกมาซื้อของเลยทันที รีบตั้งตัวมาก ไม่พักผ่อนกันเลยทีเดียว – -” สงสารพี่ปุ๊กสุดๆ
จนวันนี้ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว และเพิ่งเริ่มเรียนไปได้ 2 วัน เราก็ยังโอเคกับชีวิตที่นี่นะ
อาจจะเพราะอยู่ไทย ปกติก็อยู่บ้านตัวคนเดียวอยู่แล้ว เลยไม่ได้อะไรมากมาย แค่เปลี่ยนที่ และเปลี่ยนกลุ่มผู้คนที่พบเจอ เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนที่จะนัดไปกินข้าวด้วยกัน อะไรแบบนั้น
ใช้เงินไปเยอะมาก มาก มาก โดยเฉพาะการซื้อของเข้าห้อง เช่น พัดลม กระทะ เหยือกน้ำ น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ ผ้าห่ม หมอน ฯลฯ
ปัญหาอย่างนึงของเราตอนนี้ที่รู้สึกคือ เหมือนเป็นอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกกับเด็กไทยที่นี่ – -”
เราชอบเดินคนเดียว ไปซื้อของในเมืองคนเดียว กินข้าวคนเดียว
พอบังเอิญเจอเด็กไทยในเมืองก็จะโดนถาม “มาคนเดียวเหรอ” อะไรงี้ ฮือ
แล้วเค้าก็ชวนเราไปกินข้าวด้วยทุกวันเลย แต่นี่ก็ไม่เคยจะไปกับเค้าเลย
เมื่อวานมีเหตุให้ต้องไปห้องพี่ปุ๊ก (คือลืมกุญแจห้องตัวเอง) พอเข้าไปก็พบว่า เด็กไทยจำนวนหนึ่งกำลังนั่งคุยกันในห้องครัว ทำอาหารแชร์กันเพื่อเป็นข้าวกล่องวันพรุ่งนี้ อะไรแบบนี้
ถ้าหมดช่วงซัมเมอร์(ช่วงเรียนภาษา)เราต้องย้ายห้อง(แต่อยู่หอเดิม) ซึ่งแฟลตที่ย้ายเข้าไป คนไทยล้วนเลยจ้า เราก็ยังไม่รู้ว่า ต่อไปเราจะเป็นยังไง จะทำตัวถูกมั้ย จะต้องรอแชร์ข้าวกับเค้าทุกมื้อมั้ย ถ้าเราทำกินเองคนเดียวจะแปลกมั้ย หรืออะไร ฮือ
ส่วนนึงก็กังวลเรื่องภาษาว่าอยู่แต่คนไทย ก็จะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษหรือเปล่า ส่วนตัวเราว่าก็คงมีผลนิดนึงแต่ไม่มากมาย เพราะตอนนี้แฟลตเมตเราก็เป็นคนไต้หวันกับจีน แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันอะไรอยู่แล้วเท่าไหร่ ก็คิดซะว่าเหมือนอยู่หอคนเดียวละกัน ภาษาอังกฤษก็ไปใช้กับเพื่อนต่างชาติในห้องเรียนเวลาทำงานต่างๆ แหละ
ก่อนมาก็ไม่ได้กังวลอะไรเลยเกี่ยวกับว่า จะอยู่ได้ไหม กินอยู่ยังไง เพราะเราชินกับการอยู่เองอยู่แล้ว แต่ มีเรื่องกังวลอยู่สองอย่าง คือ เรื่องเพื่อนคนไทย และเรื่องเรียน T^T ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นและก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำงานอยู่ในกลุ่มที่มีแต่ต่างชาติเหมือนกันนะ _/|\_
Like this:
Like Loading...