29 Apr – 4 May 16 ที่ผ่านมา เราไปเที่ยวโซน Fukuoka มาค่ะ โดยจังหวัดที่ไปหลักๆ คือ Fukuoka กับ Nagasaki เท่านั้น ตอนแรกเราวางแผนไป Kumamoto ด้วย แต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่อเนื่องเสียก่อน เลยพับคุมะโมโต้ไปเพียง 3 วันก่อนเดินทาง แล้วเพิ่มโปรแกรมในฟุกุโอกะกับนางาซากิอย่างละนิดอย่างละหน่อยเข้ามาแทน
จริงๆ ตอนเริ่มวางโปรแกรมตอนแรก เราอยากไปหลายที่มาก มากเกินไปจนพยายามยัด จนเกือบจะเป็นชะโงกทริป พอทำใจได้เราเลยจัดโปรแกรมใหม่ แล้วมันก็รู้สึกดีกว่าจริงๆ นะคะ ที่มีเวลาได้อย่างเต็มที่ในแต่ละสถานที่ และจะได้มีข้ออ้างว่า จะได้กลับมาอีก ครั้งหน้าไปคุมะโมโต้กับยุฟุอินและเบปปุนะ อะไรแบบนี้ ^^
**หมายเหตุ** รีวิวนี้จะมีรูปหน้าเราและแฟนเป็นจำนวนมาก ไม่ได้อวดผ.ค่ะ แต่ว่ารูปมันมีแค่ประมาณนี้จริงๆ – –
โปรแกรมที่เราวางไว้เป็นแบบนี้ค่ะ
DAY 1 – FRI 29 APR – Space World
DAY 2 – SAT 30 APR – Kawachi-fujien – Kokura Castle – Nagasaki
DAY 3 – SUN 1 MAY – Nagasaki Peace Park – Huis Ten Bosch – Dejima
DAY 4 – MON 2 MAY – Nagasaki Bio Park (รีวิวแยกไว้ค่ะ คลิกอ่านได้เลย) – Nagasaki Ropeway (Inasayama)
DAY 5 – TUE 3 MAY – Ainoshima – Fukuoka Tower – Seaside Momochi – Canal City
DAY 6 – WED 4 MAY – Dazaifu – Asahi Museum
อันนี้ตามที่วางไว้ก่อนนะ แต่ของจริง เดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายค่ะ 555555 ทุกอย่างมี Unexpected situations เสมอ
DAY 1 – Space World
เราบิน ANA จากสุวรรณภูมิมาลงที่ฮาเนดะ แล้วค่อยต่อเครื่องไปฟุกุโอกะค่ะ ราคาไม่ถูกหรอกนะ ถถถถ ช่วงเทศกาลก็อย่างนี้ แถมยิ่งซื้อๆ ไป พอกลับมาเช็คราคาทำไมมันถูกลงวะ เออเอาเหอะ
NH850 BKK-HND 22:10 – 06:20
NH245 HND-FUK 09:00 – 10:50
ANA ให้โควต้ากระเป๋า 2 ใบ ใบละ 23 kg ทั้งไฟลท์ Inter และ Domestic เลยค่ะ เพราะว่าเราซื้อตั๋วแบบ Multiple-city
ไฟลท์จากกรุงเทพออกดึก พอเครื่องเข้าสู่ช่วง cruising แล้ว ANA ก็มีเซอร์วิสตามปกติค่ะ น้ำต่างๆ แล้วแจกถุงยังชีพ เป็นน้ำเปล่าขวดนึง คุกกี้ แล้วก็ขนมปังชิ้นนึงค่ะ เรายัดทุกอย่างเข้าปากหลังจากที่แอร์แจกถุงมาเลยค่ะ หิวมาก 5555 เพราะเราไม่ได้กินข้าวเย็น คือ ออกจากบ้านแบบฉิวเฉียดมากกกกก วิ่งมาเข้าเลาจ์ King Power ก็กินแซนวิชไปได้ 2-3 ชิ้น ก็ต้องวิ่งออกมาขึ้นเครื่อง เลาจ์อยู่ไกลเกิ๊น
ส่วนตอนเช้า จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรให้เลือกบ้าง แต่เราก็เลือกออมเล็ตค่ะ ใช้ได้เลยแหละ มียาคูลท์ให้ด้วย และก็ตามสไตล์เส้นทางญี่ปุ่นเนอะ ต้องมีซารุโซบะหรืออุด้งมาให้เป็น Side Dish
แลนด์ดิ้งที่ฮาเนดะ ผ่าน ตม. แล้วก็ไปรับกระเป๋าค่ะ กระเป๋าไม่ Check-through นะคะ ต้องเอาออกมาโหลดใหม่อีกครั้ง พอผ่านด่าน Custom แล้วก็มาซิมโทรศัพท์กันก่อนเลย
ซิมยี่ห้อ Wi-Ho! นี้ เราไปญี่ปุ่น 4 ครั้ง ซื้อมาใช้ตลอด ไม่เคยผิดหวังค่ะ สัญญาณดี ใช้งานง่าย แต่แพ็คเกจมีการเปลี่ยนแปลงราคาเรื่อยๆ นะคะ รอบนี้แพ็คเกจไม่เหมือนคราวก่อนที่เรามาเหมือนกัน ใครที่เล่นเน็ตเยอะเราแนะนำซื้อซิมแบบนี้ดีกว่า Pocket Wi-Fi นะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด หรือยิ่งมาหลายคน จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาแยกกันเดิน ดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยค่ะ https://sim.telecomsquare.co.jp/
เค้าจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ Data+Voice หรือ Data อย่างเดียว แน่นอนว่า Data อย่างเดียวถูกกว่าค่ะ เราก็เลือกแบบนี้ เวลาโทรก็ใช้ LINE Call เอา
แพ็คเกจที่เราซื้อ คือ 3GB 5,500 เยนนะคะ เนื่องจากเราจะไปโตเกียวต่อ คืออยู่ญี่ปุ่นทั้งหมด 10 วัน ถ้าซื้อแพ็คเกจแรก 1.5GB จะใช้ได้ 7 วัน ก็ต้องเติมเงินเข้าไปค่ะ จะอยู่ได้ต่ออีก 30 วัน ซึ่งเติมเงินขั้นต่ำคือ 1GB ราคา 1,980 เยน (สามารถเติมผ่านเว็บไซต์ของเค้าแล้วตัดผ่านบัตรเครดิตได้ค่ะ) ทำให้ราคารวม กลายเป็น 5,480 เยน ราคาไม่ต่างกันเลย ซื้อ 3GB ไปเลยคุ้มกว่าเยอะ
ที่สนามบินฮาเนดะ คือออกมาจากคัสตอมแล้วเดินเลี้ยวขวาไปค่ะ ล็อคขายซิมจะชื่อ Rental Mobile สีน้ำเงินๆ หาไม่ยากค่ะ ที่นาริตะก็เหมือนกันค่ะ จะเป็นล็อคสีน้ำเงิน พวกนี้จะอยู่ใกล้ๆ กับที่ขายตั๋ว Airport Limousine ค่ะ รายละเอียดและแผนที่ของร้านในแต่ละสนามบินดูได้ในเว็บเค้าเลย
วิธี Activate ก็ไม่ยากค่ะ ใส่ซิม แล้วต่อ Wi-Fi ของสนามบินไว้ ของ iPhone จะมีขึ้นให้ดาวน์โหลด Profiles ค่ะ ก็ดาวน์โหลดไปตามปกติ แล้วลงทะเบียนผ่านเว็บเค้า ใส่ชื่อนามสกุล อีเมล หมายเลขซีเรียล ก็เรียบร้อยใช้ได้ ส่วนแอนดรอยด์เราไม่เคยลองทำ แต่ว่าในแพ็คเกจเค้ามีขั้นตอนภาษาอังกฤษอย่างละเอียด เราก็ทำตามนั้นไปได้เลยค่ะ ถ้าใครที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องเทคโนโลยี ก็แกะซิมออกมาใส่เอง แล้วให้ที่ร้านเค้าช่วยทำต่อได้นะคะ
พอเรื่องซิมเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ Domestic Connecting Flight ค่ะ อยู่ที่ชั้น Arrival นั้นเลย เช็คอินโหลดกระเป๋า ผู้โดยสารสามารถผ่านจุดสแกนร่างกาย แล้วขึ้น Shuttle Bus สำหรับผู้โดยสาร Connecting เพื่อนั่งไปด้านในของ Domestic Terminal ได้เลย
แต่แฟนเราจะมาเจอที่ Domestic Terminal ค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เช็คอินโหลดกระเป๋าไป 1 ใบ ส่วนอีกใบเราก็ลากขึ้น Shuttle Bus ปกติ (ลงมาชั้น 1 แล้วออกมาที่หน้าประตูใหญ่เทอร์มินอล) สนามบินฮาเนดะมี Domestic 2 Terminals นะคะ อย่าลืมเช็คให้ดีว่าสายการบินเราอยู่ Terminal ไหน
พอมาถึง Domestic แล้ว เราก็เอากระเป๋าที่เหลือลงไปฝากที่เคาน์เตอร์ชั้นใต้ดินค่ะ (เป็นกระเป๋าสำหรับเที่ยวในโตเกียว) สนนราคาวันละ 500 เยน ชำระเงินตอนวันที่มารับกระเป๋า จากนั้นก็ไปผ่านขั้นตอนอะไรไปตามปกติ อ้อ ที่ญี่ปุ่น ไฟลท์โดเมสติก เอาน้ำเข้าไปได้นะคะ เค้าจะให้เราเปิดขวดให้ แล้วเค้าจะตรวจสอบว่าเป็นน้ำจริงๆ แล้วก็ผ่านเข้าไปได้สบายๆ ไม่ต้องทิ้ง
เคาน์เตอร์ JR Pass จะอยู่ที่เทอร์มินอลอินเตอร์ แต่วันนี้เราบินโดเมสติก เลยจะไปซื้แ JR Pass ที่สถานี JR Hakata แทนค่ะ สถานี subway นั้นอยู่ที่ Domestic Terminal อยู่แล้ว ค่อนข้างสะดวกเลย (หากใครบินตรงมาจากไทยแล้วลงที่ Inter Terminal ต้องนั่ง shuttle bus มาที่ Domestic ก่อนนะคะ ถึงจะลง subway ได้)
เราก็นั่ง subway ไปลงที่ Hakata ค่ะ 260 เยน พอถึง Hakata แล้วก็ไปที่ห้องขายตั๋ว JR ต้องขึ้นไปที่ชั้นบนดินก่อนนะคะ ในห้องนั้น เค้าจะแยกเคาน์เตอร์ JR Pass โดยเฉพาะ เราซื้อ North Kyushu 5 Days ค่ะ ราคา 10,000 เยน
วิธีการใช้ JR Pass คือ เดินเข้าประตูตรงที่เป็นที่กั้นข้างห้องนายสถานีค่ะ แล้วโชว์บัตร JR ให้เค้าดู เวลาออกสถานีก็เช่นกัน ง่ายมากๆ เพราะใน JR Pass จะมีวันหมดอายุตัวใหญ่ๆ อยู่ เค้าก็ดูแค่ตรงนั้นค่ะ
เมื่อได้บัตร JR Pass มาแล้ว เราก็ใช้ขึ้นชินคันเซ็น มุ่งหน้าไปสถานี Kokura ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ถือบัตร JR Pass แล้วจะสำรองที่นั่งได้ตามจำนวนโควต้าโดยไม่เสียเงินเพิ่ม แต่เราไม่ได้จองที่นั่งนะคะ เพราะขี้เกียจและเสียเวลา ตอนยืนรอรถที่ชานชาลา อย่าลืมดูป้ายหรือดูที่พื้น ว่าโบกี้ไหน เป็นโบกี้สำหรับ Non-Reserved นะคะ หรือหากที่สถานีนั้นๆ ไม่มีป้ายบอก ก็ให้สังเกตที่ข้างขบวนรถไฟตอนที่มาจอดเอา (แต่จะเสียเวลาหากเรายืนรอผิดจุด) หากที่ข้างขบวนมีตัวอักษร 白 นั่นหมายถึง เป็นขบวน Non-reserved ค่ะ
สถานี Kokura เป็นสถานีที่จัดว่าใหญ่มากเลยทีเดียว ออกมานอกสถานีแล้วมีลานสะพานลอยแยกซ้ายขวาเต็มไปหมด อารมณ์แบบสถานีช่องนนทรีบ้านเรา ถถถ ในรูปด้านบนคือเค้าเอาน้องแมวมาหาบ้านแหละ แอบสงสารอะ เพราะอากาศเย็นพอควรเลยวันที่ไป
ที่โคคุระ เรานอนโรงแรม Hotel Relief ค่ะ อยู่ใกล้สถานีนิดเดียว ไม่ได้ถ่ายรูปมา ทำไมกัน 55555 เพราะว่าพอถึงห้องที่โรงแรมก็โยนกระเป๋าล้มตัวลงนอนค่ะ เหนื่อยมากกกกกกก บนเครื่องก็ไม่ได้นอน แต่โรงแรมดีนะคะ ใช้ได้เลย สะอาดด้วยค่ะ โชคดีที่ไปถึงแล้วเค้าให้เข้าห้องได้เลย มีห้องทำความสะอาดเสร็จพอดี ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน และร้านอาหารของโรงแรมเหมือนจะติดท็อปๆ ของเมืองเลยเหมือนกัน คนต่อคิวเยอะมาก ชื่อร้าน HUMMINGBIRD by VERYFANCY แต่เราไม่ได้ใช้บริการอะ ไม่มีเวลา เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ
พอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้พักนึง ก็ตั้งสติว่า ต้องออกไปข้างนอกนะะะะ มาเที่ยว ไม่ใช่มานอนนนนน
ตั้งสติล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก็เดินออกมานั่ง JR ไปสถานี Spaceworld ค่ะ ใช้เวลา 13 นาทีเท่านั้น ใกล้มาก
Spaceworld เป็นสวนสนุกธีมอวกาศค่ะ มันเป็นอวกาศนัวๆ ยังไงบอกไม่ถูก คือ มีหลายๆ อย่างมาปนกันมากมาย คล้ายๆ ดิสนีย์ คล้ายๆ สตาร์วอร์ แต่ก็ดูลูกทุ่งๆ น่ารักดีค่ะ เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเท่าไหร่
จะเห็นว่าเค้าสร้างจรวดไว้เป็นแลนด์มาร์คใหญ่มาก มองจากข้างนอกคือเห็นอะ พอลงสถานี Spaceworld แล้วก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ค่ะ เดินไกลพอสมควร เราว่าประมาณเกือบกิโลนึงได้เลยอะค่ะ ในรูปนี่เราถ่ายที่ทางเดินระหว่างไปสวนสนุกนะคะ ยังไม่ถึงสักที 55555
วันที่เราไป เป็นวันที่เค้ามี Twilight Free Pass ขายค่ะ มันคือการเข้าสวนสนุกหลังบ่าย 3 ราคา 3,540 เยนเท่านั้น จากราคาเต็มวันปกติคือ 4,630 เยน เออดีงาม ข้อดีของการนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเมื่อกี้
สวนสนุกจะมี Roller Coaster เด็ดๆ อยู่ประมาณ 3-4 อันค่ะ เราก็ไปตระเวนขึ้นมาหมด รอคิวไม่นาน เพราะคนน้อยมาก โล่งมากเลยเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ นอกจาก Roller Coaster แล้วก็มีเครื่องเล่นที่เหมาะกับเด็กๆ เยอะเลยทีเดียวค่ะ พวกม้าหมุน รถบัส พรมวิเศษ หรืออะไรที่มันไม่รุนแรงอะ มีลานกว้าง ลูกบอลยักษ์ ลานสเก๊ต มีพวกล่องแก่งเด็กน้อย อะไรแบบนี้ด้วย น่ารักน่าเอ็นดู
ส่วน Roller Coaster ก็จะเป็นเด็กโตมาต่อคิวค่ะ เค้าจะมีล็อคเกอร์ให้ฝากของ โดยใช้เหรียญ 100 เยน ในการเสียบเข้าไปก่อนค่ะ พอเอากุญแจมาไขออก ก็หยิบเหรียญออกไปได้เหมือนเดิม
ที่ต่อแถวยาวสุดคืออันนี้ละ ชื่อ Saturn เค้าบอกว่าพุ่งตรงขึ้นข้างบนเกือบ 0 องศา เอาจริงๆ คือมันตกใจอะ อยู่ๆ ก็พุ่งออก 5555 ดูคลิปตามนี้
ส่วนอีกอันที่พีคกว่า คือลงมาแล้วเราเกือบอ้วก ชื่อว่า Venus ค่ะ จริงๆ มันไม่ได้อะไรมากมายเลยนะ คงเป็นเพราะเราเล่นมาหลายอันแล้วอะ 555
ประเด็นที่ตลกของอันนี้คือ คนสกรีนตรงทางเข้า ให้เราถอดต่างหูอะไรออกหมดเลย พอขึ้นไปนั่งจริงๆ เค้าให้วางกระเป๋าไว้ที่ใต้เท้าค่ะ ไม่มีล็อคเกอร์ เดี๋ยวนะ.. อันนี้มันตีลังกาไม่ใช่เหรอวะ อะไรของแกร๊ สรุปคือระหว่างตีลังกาไป อีนี่ก็หนีบกระเป๋าด้วยขาไปด้วยค่ะคุณขา ไหวมั้ย
ถัดมาคือ Capybara Cafe ค่ะ ค่าเข้า 500 เยน สามารถกดเครื่องดื่มกินได้อันลิมิตเลยค่ะ ก็จะมีพวกชากาแฟ โค้ก อะไรแบบนี้ เข้าไปนั่งพักผ่อน ชมคาปิบาระผ่านกระจก
หรือจะออกไปตรงโซนคาปิบาระก็ได้ค่ะ เล่นได้ ให้อาหารได้ มีผักขาย ตัวตรงกลางกำลังอึอยู่นะคะ มันอึลงบ่อน้ำ 55555
ถ่ายให้แฟนค่ะ เฮ้ยสวยมากเลย เธอๆ ถ่ายให้เราบ้างสิ
แฟนถ่ายให้ ทำไมไม่สวยแบบที่เราถ่ายเลยอะ เออช่างเหอะ 5555
ตามทางเดินต่างๆ เค้าก็ประดับไฟ ปลูกดอกไม้ไว้เยอะแยะเลยค่ะ สวยดีนะคะ ผู้ใหญ่มาเดินเล่นชมดอกไม้ รอเด็กๆ เล่นเครื่องเล่นได้เลย
พอตอนใกล้จะกลับ เค้ามี Open theatre แสดงรอบทุ่มนึง เป็นการแสดงในความมืด มีคนใส่ชุดเรืองแสงลายต่างๆ ออกมาเต้น สนุกดี แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปมา
ตรงทางออกค่ะ ตรงทางออกค่ะะะะะะ มีห้อง Gachapon ประมาณยี่สิบกว่าตู้ได้ หมดไป 2,000 เยน เราได้เนโกะอัตสึเมะมาเกือบครบ ขาดแค่ตัวเดียว แต่ต้องตัดใจจจจจจ ฮืออออ (ต้องเซ็ตลิมิตตัวเองค่ะ เพราะไปญี่ปุ่นทุกรอบ หมดให้กับ Gachapon หลายพันเยนทุกรอบ)
ไฟประดับตรงทางออก เป็น Horoscope 12 ราศี เห็นมั้ย เราบอกแล้ว ว่าที่นี่มันนัวๆ เอานั่นเอานี่มามิกซ์ๆ กัน แต่ก็น่ารักดี 555555 เอ้อ เดินที่นี่ทั้งวัน ไม่เจอชาวต่างชาติเลยค่ะ มีแต่คนญี่ปุ่น และส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยประมาณมัธยม ไม่ก็ครอบครัวค่ะ
ออกมาจากสวนสนุกก็หิวมากกกก มาได้ร้านซูชิสายพานที่อยู่ใกล้ๆ สถานีค่ะ สั่งจากหน้าจอก็ได้ หรือว่ารอหยิบจากสายพานก็ได้ มีชาเขียวให้ชง กดกับก๊อกน้ำร้อนที่โต๊ะได้เลย อันนี้ตื่นเต้นมาก เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟกลับ Kokura เข้าโรงแรมนอนค่ะ จบวันแรกอันยาวนานนนนน สลบเหมือด หลับสนิท หลับเป็นตาย
สรุปค่าใช้จ่ายของวันแรกนะคะ เนื่องจากแฟนเรา เค้าใช้ JR Pass ไม่ได้ ก็เลยจะมีค่ารถไฟขึ้นมาค่ะ รายการค่าใช้จ่ายนี้ไม่ได้รวมค่าจิปาถะแบบของกินเล็กๆ น้อยๆ อะไรแบบนี้ บางอันเราก็ลืมใส่เข้าไปค่ะ
อ่านต่อได้ที่ตอนที่ 2 >> [Review] Fukuoka – Nagasaki ทริปสวนสนุกและสวนธรรมชาติ 6 วัน 5 คืน ตอนที่ 2: Kawachi-fujien – Kokura Castle – Inasayama